A A

8 มีนาคม 2558

นิพพานแท้(ปรินิพพาน-โมกษะ) และ นิพพานมีบ้านเมือง (ปรมาตมัน-อาตมัน)เป็นอย่างไร?

1. นิพพานแท้ = ปรินิพพาน =  จิตว่างตลอดกาล = มหาสุญญตา = พุทธภาวะเริ่มแรก เป็นอย่างไร?

นิพพานแท้ = ปรินิพพาน = จิตว่างตลอดกาล เป็นจิตว่างอยู่ในแดนแห่งความว่างเปล่า ไม่มีห่าอะไรทั้งนั้น  เรียกว่า  พุทธภาวะเริ่มต้น หรือมหาสุญญตา 

นิพพานแท้ = ปรินิพพาน = จิตว่างตลอดกาล  สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฮวงโปกล่าวถึงไว้ว่า:
" ธรรมชาติ แห่งความเป็นพุทธะ ดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว.  สิ่งนี้ เป็น ความว่างเป็นสิ่งที่มีอยู่ในที่ทุกแห่ง  สงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน, มันเป็นศานติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ, และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง.  จงเข้าไปสู่สิ่งนี้ให้ลึกซึ้งโดยการลืมตาต่อมันด้วยตัวเองเถิด...... "

ความสุขแท้จริงไม่มีทุกข์นั้น คือ จิตอยู่ในความว่างอย่างเดียว  ดับจิตสังขารทั้งหมด  มีแต่จิตอสังขตะ หรือจิตวิสังขาร
(จิตไม่มีการปรุงแต่งสิ่งใด, หรือจิตไม่ปรุง หรือจิตปิดswictchทุกอย่าง-ปิดswitchจิตที่เป็นเจตสิก หรือ ปิดจิตสังขาร ซึ่งเป็นส่วนที่คิดนึก และปรุงแต่งไปเลย)

อธิบายให้ชัด

การดับจิตสังขารขั้นนี้ เป็นการดับสนิทเหมือนปิดswitchทั้งเครื่องรับเข้า และ เครื่องส่งออกของจิตทั้งหมด หมายความว่า กูไม่นำเข้าเรื่องราวใดๆอีกแล้วและกูก็ไม่ส่งออกความคิดนึกอะไรออกไปทั้งนั้นด้วย  นี่เป็นจุดมุ่งหมายสุดท้ายที่พวกเราจะไปคือ....ไปเป็นจิตว่างอย่างเดียว เสวยสุขอันประเสริฐที่ไม่ได้มาจากเวทนา(ความรู้สึก)และสัญญา(ความจำ) โดยการเสวยบรมสุขนั้นอยู่ในแดนนิพพานแท้แห่งความว่างตลอดกาล ไม่มีการสร้างสิ่งใดออกมาอีกต่อไปแม้แต่กายธรรม(ธรรมกาย)ของกู กูก็ไม่สร้างแล้ว กูจะอยู่เป็นจิตว่างๆ(ธรรม)ของกูอย่างนั้นแหละ จะเรียกว่า กูเข้านิโรธสมาบัติตลอดกาลก็ได้

2. นิพพาน = พุทธเกษตร = แดนนิพพานที่มีบ้านมีเมือง = สวรรค์นิรันดร เป็นอย่างไร?  

บ้านเมืองและผู้ที่อยู่ในนิพพาน ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งอมตะถาวร  นี่คือ "อัตตา" ที่พระพุทธเจ้าพูดถึง  ไม่มีการเกิด ไม่มีการแก่ ไม่มีการเจ็บ ไม่มีการตาย ในสวรรค์นิรันดร(แดนนิพพาน)แห่งนี้  นิพพานตัวนี้ คือ 
"อาตมัน" เข้าไปรวมกับ "ปรมาตมัน" ที่ศาสนาพราหมณ์พูดถึง  ซึ่งเรียกตามแบบศาสนาพุทธก็คือ  "พระอรหันต์สาวกต่างๆ" เข้าไปอยู่ร่วมกับ "พระพุทธเจ้าตถาคตของเขา"

นิพพานตัวนี้ต้องใช้จิตในส่วนที่เป็นเจตสิก หรือ สังขาร(สังขตะ) ซึ่งเป็นส่วนที่สามารถนึกคิดได้ของจิตที่ว่างเปล่าจากกิเลส ตัณหา และอวิชชา ให้เจตสิกช่วยนึกคิดปรุงแต่งสร้างบ้านเมืองและสร้างกายธรรม+กายทิพย์อมตะ(พระวิญญาณบริสุทธิ์)ออกมา

พระอรหันต์ต่างๆจะดับจิตสังขารของท่าน โดยวิธีรู้สิ่งใดภายนอก ก็สักแต่ว่ารู้  เห็นสิ่งใดภายนอก ก็สักแต่ว่าเห็น ฯลฯ  ไม่คิดนึกปรุงแต่งมันด้วยกิเลสตัณหา คือไม่ปรุงแต่งมันด้วยความโลภโกรธหลงอีกตลอดกาล

พอมีกิเลสตัณหา มีความโลกโกรธหลงเข้ามาใจจิตจากภาพที่เห็นและจากเสียงที่ได้ยิน ท่านก็จะรีบดับมันทันทีด้วยสติ 
- รู้ว่านี่กูกำลังโกรธอยู่  นี่กูกำลังโลภอยู่  นี่กูกำลังมีราคะอยู่ - เมื่อรู้แล้ว ก็มีสติรู้ทันทันที  แล้วเข้าสู่จิตว่าง ไม่ไปคิดนึกมันต่อไปตามกิเลสตัณหา ตามความโลกโกรธหลง ที่เข้ามา ด้วยเหตุนี้  ความคิดนึก หรือการปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา ด้วยความโลกโกรธหลงก็จะหายไปฉับพลันทันทีเช่นกัน  พระอรหันต์ท่านจะทำสติแบบนี้ จนเป็นสันดานติดตัวท่านไปเลย เพราะท่านเข็ดขยาดถาวรแล้วจากการคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา  เลยมาคิดปรุงแต่งด้วยความว่างแทน กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจึงไม่มีกับท่านอีกต่อไปในนิพพาน มีแต่กฎนิจจัง สุขขัง อัตตา(จิตว่าง)

การเข้าถึงนิพพานที่มีบ้านมีเมืองตัวนี้ คือ การเข้าให้ถึง "ฝั่งโน้น" = เข้าถึงฝั่งอมตะ ฝั่งสวรรค์นิรันดร  ฝั่งนิพพาน

พูดให้มันชัดเจนไปเลย......  เราจะเข้าถึงฝั่งอมตะได้โดยขจัดความโลภ โกรธ หลง ขจัดความยึดว่า กายมนุษย์(ขันธ์ 5) คือตัวกู...  และขจัดความยึดติดว่าสิ่งภายนอกไม่ว่าลูกเมียเพื่อนฝูง เงินทอง รถยนต์ ฯลฯ...คือของกู  เพราะว่า สิ่งเหล่านั้นล้วนเกิดจากกรรมดีกรรมชั่วที่กายมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ของเราเคยทำไว้ในอดีต  ส่งผลหรือวิบากกรรมมาให้กายมนุษย์ในชาตินี้ของเรารับไว้เท่านั้น..... อย่าไปใส่ใจมัน  มันเป็นคนละส่วนกับจิตปภัสสรอันบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นตัวจริงของเรา  เราจะรู้ความจริงเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ได้ โดยการทำสมถะ(สมาธิ)และวิปัสสนากรรมฐาน จนถึงขั้นเป็นอรหันต์เท่านั้น

เมื่อเป็นอรหันต์แล้วจะได้กายใหม่ ซึ่งเป็นกายธรรม(ธรรมกาย) และจะได้กายทิพย์อมตะสัมโภคกายด้วย ที่ศาสนาอื่นเรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์  เพื่อเอาไว้ใช้งาน และช่วยสรรพชีวิตใน 31 ภพภูมิต่อไป นำสรรพชีวิตเหล่านี้ให้เข้าถึงฝั่งโน้น ซึ่งเป็นฝั่งอมตะ ฝั่งสวรรค์นิรันดร หรือ ฝั่งนิพพาน ตามเราต่อไป  บางครั้งก็เรียก กายทิพย์อมตะสัมโภคกาย หรือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า "
พระโพธิสัตว์อรหันต์"

ส่วนกายมนุษย์(ขันธ์ 5) กายสัตว์ กายเทวดา กายพรหม  กายเปรต  กายห่าอะไรในโลกและจักรวาลนี้  แม้แต่ตัวโลกและจักรวาลเอง  มันล้วนเป็นอนัตตา
(ไม่ใช่ตัวตนแท้จริง เป็นเพียงมายา) ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ภายใต้กฎอนิจจัง และเป็นพวกที่หนีความทุกข์ไม่พ้น  พวกที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  เรียกรวมกันว่า พวกที่อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์-อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  พระพุทธเจ้าเรียกฝั่งสังสารวัฏ หรือฝั่ง 31 ภพภูมิว่า  "ฝั่งนี้"

สรุป

ฝั่งนี้  = ฝั่งมิจฉาทิฐิอยู่ = ฝั่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา = ฝั่งมนุษย์และสรรพชีวิต เช่น มนุษย์ เปรต เทวดา พรหม ฯลฯใน 31 ภพภูมิ

ฝั่งโน้น  = ฝั่งสัมมาทิฐิอยู่ = ฝั่งนิจจัง สุขขัง อัตตา = ฝั่งนิพพาน(ฝั่งสวรรค์นิรันดร, ฝั่งพุทธเกษตร) ของพวกกายทิพย์อมตะสัมโภคกาย หรือ ฝั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือฝั่ง "
พระโพธิสัตว์อรหันต์"+ พุทธภูมิของพวกธรรมกาย ที่อยู่ในพุทธเกษตร

ฝั่งปรินิพพาน = ฝั่งจิตว่างตลอดกาล  จิตว่างตลอดกาลไดต้องปิดswictchทุกอย่าง - ปิดเจตสิกหรือจิตสังขารไปเลย


ผมรู้แล้วว่า  ทำไมเหล่าพุทธะต่างบอกว่า ผมจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกต่อจากพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า
อ้างถึง

Phonsakเขียน :  ดวงจิตมันมี 2 ดวงครับ
1. จิตนิพพาน  จิตดวงนี้ไม่มีการท่องเที่ยวไป  เพราะเป็นอสังขตะ เป็นวิราคะจิต วิสังขารจิต ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
2. จิตสังขาร ซึ่งแต่เดิมเป็นจิตปภัสสร  แต่เพราะโดนกิเลส ตัณหา อวิชชาครอบงำ  จิตดวงนี้จึงต้องเที่ยวไปจากชาตินี้ไปชาติโน้นเรื่อยๆไม่สิ้นสุด  จิตสังขารจะเร่ร่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในกายเนื้อและกายทิพย์ต่างๆไปตามกรรมที่แต่ละคนทำไว้ไม่มีวันจบสิ้น  จนกว่าจะเข้าถึงนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)
...
tonn โพสต์
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เอกะจะรัง จิตตังจิตดวงเดียวเที่ยวไปจิตที่มีดวงเดียวนี้คือ จิตสังขาร ที่เป็นปภัสสร  ความปภัสสรมันเสื่อมไป  เราจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆใน 31 ภพภูมิ  เราต้องดับและละลายดวงจิตปภัสสรดวงเดียวท่องเที่ยวไปดวงนี้ไปก่อน  จึงจะได้จิตอีกตัวหนึ่งออกมา คือจิตนิพพาน หรือนิพพาน

555
แสดงว่า นิพพานจิต คุณพลศักดิ์ เป็นสังขารครับ
ถึงแสดง อาการ การออกมา
555


dhammajak โพสต์

ตอบ

แม่นแล้วน้อง!  พี่จะบอกให้ฟังนะ  คำว่า นิพพานที่พระพุทธเจ้าแนะนำให้เข้าถึง มันมี 3 อย่าง  ไม่ได้มีอย่างเดียว

1. นิพพานแท้ หรือปรินิพพาน  ตัวนี้เป็นจิตที่ว่าง ปิดswitchการนำเข้าและส่งออกทุกอย่าง(ปิดเจตสิกและการคิดปรุงแต่ง(สังขาร))  อยู่เป็นความว่างอย่างเดียว  ความว่างอย่างเดียวนี้คือ "ธรรม หรือนิพพานแท้ หรือปรินิพพาน"   

นิพพานแท้ตัวนี้ คือสิ่งที่หลวงปู่ดู่บอกว่า 
"แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก = มีจิตว่าง = ธรรม อยู่ในแดนว่าง

2. นิพพานที่มีบ้านมีเมือง  มีกายของธรรม(ธรรมกาย) หรือกายนิพพาน(อายตนะนิพพาน)อาศัยอยู่  แต่เพราะกายธรรม(ธรรมกายหรืออายตนะนิพพาน)นั้น  พูดคุยกันบางครั้งเท่านั้น  นอกนั้นส่วนใหญ่อยู่ในนิโรธ  ไม่ค่อยยุ่งกับเรื่องราวใน 31 ภพภูมิ  ดังนั้นกายนิพพานหรือกายธรรมจึงปลีกตัวและแยกตัวเองออกไปอยู่ในพุทธภูมิ ซึ่งเป็นสถานที่แห่งหนึ่งในพุทธเกษตรแดนนิพพาน  ก่อนไป...กายธรรมจะนิรมิตกายอมตะอีกกายหนึ่งออกมา  เพื่อจะได้พูดคุยกันได้สะดวก และยังสามารถยุ่งกับเรื่องราวใน 31 ภพภูมิได้อีก  ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดนิพพานประเภทที่ 3 ขึ้นมา คือ....

3. นิพพานที่เป็นกายทิพย์อมตะ(สัมโภคกาย หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์) = พระเจ้า = พระอรหันต์โพธิสัตว์  ตัวอย่างของกายทิพย์อมตะหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เรารู้จักกันดี  ก็เช่น พระยะโฮวา  พระเยซู  เจ้าแม่กวนอิม  พระอมิตาพุทธ  พระศิวะ  พระพรหม  พระนารายณ์ ฯลฯ  ที่สำคัญ...พระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นมีตัวมโนธรรมสูงสุดของพวกเราอยู่ด้วย  

มโนธรรมสูงสุดของพวกเราตัวนี้  ไม่ใช่มโนธรรมตัวที่ชี้แนะเราในจิต ให้เราทำความดีทางโลกนะครับ  เพราะมโนธรรมที่แนะนำให้ทำความดีทางโลกนั้น เป็นตัวมารความดี  ที่สู้กับมารความชั่ว  แต่ตัวมโนธรรมสูงสุดของเรา จะทำหน้าที่แนะนำให้เราละทิ้งทั้งความดีและความชั่ว ซึ่งเป็นกิเลสออกไปให้หมด  เข้าไปหาความว่าง ไปหาสุขบริสุทธิ์  ไม่ใช่สุขจากกิเลสตัณหา

ในศาสนาอื่นเรียกมโนธรรมสูงสุด+มโนธรรมที่ชี้แนะให้เราทำความดีทางโลกว่า  "พระเจ้า"  พระพุทธเจ้าจึงต้องเปลี่ยนชื่อพระเจ้า และเปลี่ยนชื่อมโนธรรมสูงสุดว่า "พุทธะ" เพื่อชี้ให้เห็นว่าศาสนาพุทธแตกต่างจากศาสนาอื่นตรงที่  ชี้ทางให้เข้าหาความดับทุกข์นิรันดร ไปหาสุขบริสุทธิ์  คือ ความว่างจากกิเลสตัณหาในใจตลอดไป

ถาม

นิพพานจิต คุณพลศักดิ์ บอกมาเป็นสังขารใช่หรือเปล่า?

ตอบ นิพพานจิตที่ พลศักดิ์ และพระพุทธเจ้า กล่าวถึงเป็น นิพพานที่มีบ้านมีเมือง  มีกายของธรรม(ธรรมกาย) และนิพพานที่มีกายทิพย์อมตะอยู่  ส่วนนิพพานที่ไมมีการยุ่งเกี่ยวใดๆกับโลกอีกแล้ว คือ ปรินิพพาน หรือมหาสุญญตา หรือพุทธภาวะเริ่มแรก  ก่อนมีการสร้างโลกและจักรวาล  นั่นเป็นเป้าหมายสุดท้ายเมื่อพวกเราเข้าสู่แดนนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)แล้ว

ส่วนที่ถามว่า  
นิพพานจิต คุณพลศักดิ์ บอกมาเป็นสังขารใช่หรือเปล่า ตอบว่าใช่... เป็นสังขาร(การคิดปรุงแต่งที่ออกมาจากจิตบริสุทธิ์) - จะตอบว่าเป็นเจตสิกบริสุทธิ์ก็ได้  เพราะ...สังขารการคิดปรุงแต่งที่ออกมาจากจิตบริสุทธิ์ = เจตสิกบริสุทธิ์นั่นเอง

อนึ่ง  นิพพานที่มีบ้านมีเมือง  มีกายของธรรม(ธรรมกาย) และนิพพานที่มีกายทิพย์อมตะอยู่  ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่า "จิตจักรวาล" ชาวโลก เรียกว่า "God"  พุทธมหายานเรียกว่า "พระโพธิสัตว์(อรหันต์)"

ผมยอมรับว่า  มีผมPhonsakเพียงผู้เดียวที่รู้ได้ลึกซึ้งสุดหยั่งคาดแบบนี้  มิน่าล่ะทั้งเจ้าแม่กวนอิมภาคขาวและภาคดำ ทั้งเซ็กเซียนฮ่องเต้  ทั้งพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์  ทั้งพระอมิตาภะพุทธเจ้า  ทั้งพระกกุสันธะพุทธเจ้า  และพระติกขคัมมะพุทธเจ้าองค์ปฐม  หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า  ต่างบอกว่าผมจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกต่อจากพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า


อ้างถึง

จิตว่าง กลายเป็นจิตสังขารปรุงแต่งมั่ว ไปเสียแล้วจ่ะ ...

dhammajak โพสต์

ตอบ 

เบื่อที่จะอธิบายให้คุณฟังจริงๆ  จิตว่างมันมีเป็นจิตอยู่ในความว่างเฉยๆไม่ต้องมีกายเรียกว่าปรินิพพาน หรือนิพพานแท้  

หลวงปู่ดู่: 
"เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้งสี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณ นั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก .... อันนี้แหละ

หรือที่หลวงปู่ดูลย์อธิบายว่า : 
"นามเดิมก็คือความว่างของจักรวาล" .... ก็อันนี้แหละ อันเดียวกัน

แต่มันมีจิตว่างที่ยังต้องมีกายไว้ใช้ด้วย คือ ธรรมกาย และ กายทิพย์อมตะสัมโภคกาย

หลวงปู่ดู่: พูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ: 

เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน .....อันนี้แหละที่เจตสิกบริสุทธิ์ หรือสังขารบริสุทธิ์สร้างขึ้นมา

คุณไม่เข้าใจอีกหรือพระพุทธเจ้าต่างๆล้วนเป็นพระเจ้าที่เป็นพระบิดา  พวกท่านสามารถสร้างโลกและจักรวาลให้พวกมนุษย์และ 31 ภพภูมิอยู่ได้  แล้วพวกท่านจะไม่มีปัญญาเนรมิตบ้านเมืองและกายให้จิตที่บริสุทธิ์  ที่ยังไม่ต้องการปรินิพพานอยู่ ที่เรียกว่า เมืองนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)อยู่...หรืออย่างไร?

0 comments:

แสดงความคิดเห็น