1. นิพพานแท้ = ปรินิพพาน = จิตว่างตลอดกาล
= มหาสุญญตา = พุทธภาวะเริ่มแรก เป็นอย่างไร?
นิพพานแท้ = ปรินิพพาน = จิตว่างตลอดกาล เป็นจิตว่างอยู่ในแดนแห่งความว่างเปล่า ไม่มีห่าอะไรทั้งนั้น เรียกว่า พุทธภาวะเริ่มต้น หรือมหาสุญญตา
นิพพานแท้ = ปรินิพพาน = จิตว่างตลอดกาล สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฮวงโปกล่าวถึงไว้ว่า:
" ธรรมชาติ แห่งความเป็นพุทธะ ดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว. สิ่งนี้ เป็น ความว่าง, เป็นสิ่งที่มีอยู่ในที่ทุกแห่ง สงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน, มันเป็นศานติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ, และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง. จงเข้าไปสู่สิ่งนี้ให้ลึกซึ้งโดยการลืมตาต่อมันด้วยตัวเองเถิด...... "
ความสุขแท้จริงไม่มีทุกข์นั้น คือ จิตอยู่ในความว่างอย่างเดียว ดับจิตสังขารทั้งหมด มีแต่จิตอสังขตะ หรือจิตวิสังขาร(จิตไม่มีการปรุงแต่งสิ่งใด, หรือจิตไม่ปรุง หรือจิตปิดswictchทุกอย่าง-ปิดswitchจิตที่เป็นเจตสิก หรือ ปิดจิตสังขาร ซึ่งเป็นส่วนที่คิดนึก และปรุงแต่งไปเลย)
อธิบายให้ชัด
การดับจิตสังขารขั้นนี้ เป็นการดับสนิทเหมือนปิดswitchทั้งเครื่องรับเข้า และ เครื่องส่งออกของจิตทั้งหมด หมายความว่า กูไม่นำเข้าเรื่องราวใดๆอีกแล้วและกูก็ไม่ส่งออกความคิดนึกอะไรออกไปทั้งนั้นด้วย นี่เป็นจุดมุ่งหมายสุดท้ายที่พวกเราจะไปคือ....ไปเป็นจิตว่างอย่างเดียว เสวยสุขอันประเสริฐที่ไม่ได้มาจากเวทนา(ความรู้สึก)และสัญญา(ความจำ) โดยการเสวยบรมสุขนั้นอยู่ในแดนนิพพานแท้แห่งความว่างตลอดกาล ไม่มีการสร้างสิ่งใดออกมาอีกต่อไปแม้แต่กายธรรม(ธรรมกาย)ของกู กูก็ไม่สร้างแล้ว กูจะอยู่เป็นจิตว่างๆ(ธรรม)ของกูอย่างนั้นแหละ จะเรียกว่า กูเข้านิโรธสมาบัติตลอดกาลก็ได้
2. นิพพาน = พุทธเกษตร = แดนนิพพานที่มีบ้านมีเมือง = สวรรค์นิรันดร เป็นอย่างไร?
บ้านเมืองและผู้ที่อยู่ในนิพพาน ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งอมตะถาวร นี่คือ "อัตตา" ที่พระพุทธเจ้าพูดถึง ไม่มีการเกิด ไม่มีการแก่ ไม่มีการเจ็บ ไม่มีการตาย ในสวรรค์นิรันดร(แดนนิพพาน)แห่งนี้ นิพพานตัวนี้ คือ "อาตมัน" เข้าไปรวมกับ "ปรมาตมัน" ที่ศาสนาพราหมณ์พูดถึง ซึ่งเรียกตามแบบศาสนาพุทธก็คือ "พระอรหันต์สาวกต่างๆ" เข้าไปอยู่ร่วมกับ "พระพุทธเจ้าตถาคตของเขา"
นิพพานตัวนี้ต้องใช้จิตในส่วนที่เป็นเจตสิก หรือ สังขาร(สังขตะ) ซึ่งเป็นส่วนที่สามารถนึกคิดได้ของจิตที่ว่างเปล่าจากกิเลส ตัณหา และอวิชชา ให้เจตสิกช่วยนึกคิดปรุงแต่งสร้างบ้านเมืองและสร้างกายธรรม+กายทิพย์อมตะ(พระวิญญาณบริสุทธิ์)ออกมา
พระอรหันต์ต่างๆจะดับจิตสังขารของท่าน โดยวิธีรู้สิ่งใดภายนอก ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นสิ่งใดภายนอก ก็สักแต่ว่าเห็น ฯลฯ ไม่คิดนึกปรุงแต่งมันด้วยกิเลสตัณหา คือไม่ปรุงแต่งมันด้วยความโลภโกรธหลงอีกตลอดกาล
พอมีกิเลสตัณหา มีความโลกโกรธหลงเข้ามาใจจิตจากภาพที่เห็นและจากเสียงที่ได้ยิน ท่านก็จะรีบดับมันทันทีด้วยสติ - รู้ว่านี่กูกำลังโกรธอยู่ นี่กูกำลังโลภอยู่ นี่กูกำลังมีราคะอยู่ - เมื่อรู้แล้ว ก็มีสติรู้ทันทันที แล้วเข้าสู่จิตว่าง ไม่ไปคิดนึกมันต่อไปตามกิเลสตัณหา ตามความโลกโกรธหลง ที่เข้ามา ด้วยเหตุนี้ ความคิดนึก หรือการปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา ด้วยความโลกโกรธหลงก็จะหายไปฉับพลันทันทีเช่นกัน พระอรหันต์ท่านจะทำสติแบบนี้ จนเป็นสันดานติดตัวท่านไปเลย เพราะท่านเข็ดขยาดถาวรแล้วจากการคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา เลยมาคิดปรุงแต่งด้วยความว่างแทน กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจึงไม่มีกับท่านอีกต่อไปในนิพพาน มีแต่กฎนิจจัง สุขขัง อัตตา(จิตว่าง)
การเข้าถึงนิพพานที่มีบ้านมีเมืองตัวนี้ คือ การเข้าให้ถึง "ฝั่งโน้น" = เข้าถึงฝั่งอมตะ ฝั่งสวรรค์นิรันดร ฝั่งนิพพาน
พูดให้มันชัดเจนไปเลย...... เราจะเข้าถึงฝั่งอมตะได้โดยขจัดความโลภ โกรธ หลง ขจัดความยึดว่า กายมนุษย์(ขันธ์ 5) คือตัวกู... และขจัดความยึดติดว่าสิ่งภายนอกไม่ว่าลูกเมียเพื่อนฝูง เงินทอง รถยนต์ ฯลฯ...คือของกู เพราะว่า สิ่งเหล่านั้นล้วนเกิดจากกรรมดีกรรมชั่วที่กายมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ของเราเคยทำไว้ในอดีต ส่งผลหรือวิบากกรรมมาให้กายมนุษย์ในชาตินี้ของเรารับไว้เท่านั้น..... อย่าไปใส่ใจมัน มันเป็นคนละส่วนกับจิตปภัสสรอันบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นตัวจริงของเรา เราจะรู้ความจริงเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ได้ โดยการทำสมถะ(สมาธิ)และวิปัสสนากรรมฐาน จนถึงขั้นเป็นอรหันต์เท่านั้น
เมื่อเป็นอรหันต์แล้วจะได้กายใหม่ ซึ่งเป็นกายธรรม(ธรรมกาย) และจะได้กายทิพย์อมตะสัมโภคกายด้วย ที่ศาสนาอื่นเรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อเอาไว้ใช้งาน และช่วยสรรพชีวิตใน 31 ภพภูมิต่อไป นำสรรพชีวิตเหล่านี้ให้เข้าถึงฝั่งโน้น ซึ่งเป็นฝั่งอมตะ ฝั่งสวรรค์นิรันดร หรือ ฝั่งนิพพาน ตามเราต่อไป บางครั้งก็เรียก กายทิพย์อมตะสัมโภคกาย หรือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า "พระโพธิสัตว์อรหันต์"
ส่วนกายมนุษย์(ขันธ์ 5) กายสัตว์ กายเทวดา กายพรหม กายเปรต กายห่าอะไรในโลกและจักรวาลนี้ แม้แต่ตัวโลกและจักรวาลเอง มันล้วนเป็นอนัตตา(ไม่ใช่ตัวตนแท้จริง เป็นเพียงมายา) ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ภายใต้กฎอนิจจัง และเป็นพวกที่หนีความทุกข์ไม่พ้น พวกที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกรวมกันว่า พวกที่อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์-อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระพุทธเจ้าเรียกฝั่งสังสารวัฏ หรือฝั่ง 31 ภพภูมิว่า "ฝั่งนี้"
สรุป
ฝั่งนี้ = ฝั่งมิจฉาทิฐิอยู่ = ฝั่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา = ฝั่งมนุษย์และสรรพชีวิต เช่น มนุษย์ เปรต เทวดา พรหม ฯลฯใน 31 ภพภูมิ
ฝั่งโน้น = ฝั่งสัมมาทิฐิอยู่ = ฝั่งนิจจัง สุขขัง อัตตา = ฝั่งนิพพาน(ฝั่งสวรรค์นิรันดร, ฝั่งพุทธเกษตร) ของพวกกายทิพย์อมตะสัมโภคกาย หรือ ฝั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือฝั่ง "พระโพธิสัตว์อรหันต์"+ พุทธภูมิของพวกธรรมกาย ที่อยู่ในพุทธเกษตร
ฝั่งปรินิพพาน = ฝั่งจิตว่างตลอดกาล จิตว่างตลอดกาลไดต้องปิดswictchทุกอย่าง - ปิดเจตสิกหรือจิตสังขารไปเลย
ผมรู้แล้วว่า ทำไมเหล่าพุทธะต่างบอกว่า ผมจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกต่อจากพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า
ตอบ
แม่นแล้วน้อง! พี่จะบอกให้ฟังนะ คำว่า นิพพานที่พระพุทธเจ้าแนะนำให้เข้าถึง มันมี 3 อย่าง ไม่ได้มีอย่างเดียว
1. นิพพานแท้ หรือปรินิพพาน ตัวนี้เป็นจิตที่ว่าง ปิดswitchการนำเข้าและส่งออกทุกอย่าง(ปิดเจตสิกและการคิดปรุงแต่ง(สังขาร)) อยู่เป็นความว่างอย่างเดียว ความว่างอย่างเดียวนี้คือ "ธรรม หรือนิพพานแท้ หรือปรินิพพาน"
นิพพานแท้ตัวนี้ คือสิ่งที่หลวงปู่ดู่บอกว่า "แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก” = มีจิตว่าง = ธรรม อยู่ในแดนว่าง
2. นิพพานที่มีบ้านมีเมือง มีกายของธรรม(ธรรมกาย) หรือกายนิพพาน(อายตนะนิพพาน)อาศัยอยู่ แต่เพราะกายธรรม(ธรรมกายหรืออายตนะนิพพาน)นั้น พูดคุยกันบางครั้งเท่านั้น นอกนั้นส่วนใหญ่อยู่ในนิโรธ ไม่ค่อยยุ่งกับเรื่องราวใน 31 ภพภูมิ ดังนั้นกายนิพพานหรือกายธรรมจึงปลีกตัวและแยกตัวเองออกไปอยู่ในพุทธภูมิ ซึ่งเป็นสถานที่แห่งหนึ่งในพุทธเกษตรแดนนิพพาน ก่อนไป...กายธรรมจะนิรมิตกายอมตะอีกกายหนึ่งออกมา เพื่อจะได้พูดคุยกันได้สะดวก และยังสามารถยุ่งกับเรื่องราวใน 31 ภพภูมิได้อีก ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดนิพพานประเภทที่ 3 ขึ้นมา คือ....
3. นิพพานที่เป็นกายทิพย์อมตะ(สัมโภคกาย หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์) = พระเจ้า = พระอรหันต์โพธิสัตว์ ตัวอย่างของกายทิพย์อมตะหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เรารู้จักกันดี ก็เช่น พระยะโฮวา พระเยซู เจ้าแม่กวนอิม พระอมิตาพุทธ พระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ ฯลฯ ที่สำคัญ...พระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นมีตัวมโนธรรมสูงสุดของพวกเราอยู่ด้วย
มโนธรรมสูงสุดของพวกเราตัวนี้ ไม่ใช่มโนธรรมตัวที่ชี้แนะเราในจิต ให้เราทำความดีทางโลกนะครับ เพราะมโนธรรมที่แนะนำให้ทำความดีทางโลกนั้น เป็นตัวมารความดี ที่สู้กับมารความชั่ว แต่ตัวมโนธรรมสูงสุดของเรา จะทำหน้าที่แนะนำให้เราละทิ้งทั้งความดีและความชั่ว ซึ่งเป็นกิเลสออกไปให้หมด เข้าไปหาความว่าง ไปหาสุขบริสุทธิ์ ไม่ใช่สุขจากกิเลสตัณหา
ในศาสนาอื่นเรียกมโนธรรมสูงสุด+มโนธรรมที่ชี้แนะให้เราทำความดีทางโลกว่า "พระเจ้า" พระพุทธเจ้าจึงต้องเปลี่ยนชื่อพระเจ้า และเปลี่ยนชื่อมโนธรรมสูงสุดว่า "พุทธะ" เพื่อชี้ให้เห็นว่าศาสนาพุทธแตกต่างจากศาสนาอื่นตรงที่ ชี้ทางให้เข้าหาความดับทุกข์นิรันดร ไปหาสุขบริสุทธิ์ คือ ความว่างจากกิเลสตัณหาในใจตลอดไป
ถาม
ตอบ นิพพานจิตที่ พลศักดิ์ และพระพุทธเจ้า กล่าวถึงเป็น นิพพานที่มีบ้านมีเมือง มีกายของธรรม(ธรรมกาย) และนิพพานที่มีกายทิพย์อมตะอยู่ ส่วนนิพพานที่ไมมีการยุ่งเกี่ยวใดๆกับโลกอีกแล้ว คือ ปรินิพพาน หรือมหาสุญญตา หรือพุทธภาวะเริ่มแรก ก่อนมีการสร้างโลกและจักรวาล นั่นเป็นเป้าหมายสุดท้ายเมื่อพวกเราเข้าสู่แดนนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)แล้ว
ส่วนที่ถามว่า นิพพานจิต คุณพลศักดิ์ บอกมาเป็นสังขารใช่หรือเปล่า? ตอบว่าใช่... เป็นสังขาร(การคิดปรุงแต่งที่ออกมาจากจิตบริสุทธิ์) - จะตอบว่าเป็นเจตสิกบริสุทธิ์ก็ได้ เพราะ...สังขารการคิดปรุงแต่งที่ออกมาจากจิตบริสุทธิ์ = เจตสิกบริสุทธิ์นั่นเอง
อนึ่ง นิพพานที่มีบ้านมีเมือง มีกายของธรรม(ธรรมกาย) และนิพพานที่มีกายทิพย์อมตะอยู่ ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่า "จิตจักรวาล" ชาวโลก เรียกว่า "God" พุทธมหายานเรียกว่า "พระโพธิสัตว์(อรหันต์)"
ผมยอมรับว่า มีผมPhonsakเพียงผู้เดียวที่รู้ได้ลึกซึ้งสุดหยั่งคาดแบบนี้ มิน่าล่ะทั้งเจ้าแม่กวนอิมภาคขาวและภาคดำ ทั้งเซ็กเซียนฮ่องเต้ ทั้งพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ ทั้งพระอมิตาภะพุทธเจ้า ทั้งพระกกุสันธะพุทธเจ้า และพระติกขคัมมะพุทธเจ้าองค์ปฐม หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า ต่างบอกว่าผมจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกต่อจากพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า
อ้างถึง
ตอบ
เบื่อที่จะอธิบายให้คุณฟังจริงๆ จิตว่างมันมีเป็นจิตอยู่ในความว่างเฉยๆไม่ต้องมีกายเรียกว่าปรินิพพาน หรือนิพพานแท้
หลวงปู่ดู่: "เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้งสี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณ นั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก” .... อันนี้แหละ
หรือที่หลวงปู่ดูลย์อธิบายว่า : "นามเดิมก็คือความว่างของจักรวาล" .... ก็อันนี้แหละ อันเดียวกัน
แต่มันมีจิตว่างที่ยังต้องมีกายไว้ใช้ด้วย คือ ธรรมกาย และ กายทิพย์อมตะสัมโภคกาย
หลวงปู่ดู่: พูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ:
“เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน .....อันนี้แหละที่เจตสิกบริสุทธิ์ หรือสังขารบริสุทธิ์สร้างขึ้นมา
คุณไม่เข้าใจอีกหรือพระพุทธเจ้าต่างๆล้วนเป็นพระเจ้าที่เป็นพระบิดา พวกท่านสามารถสร้างโลกและจักรวาลให้พวกมนุษย์และ 31 ภพภูมิอยู่ได้ แล้วพวกท่านจะไม่มีปัญญาเนรมิตบ้านเมืองและกายให้จิตที่บริสุทธิ์ ที่ยังไม่ต้องการปรินิพพานอยู่ ที่เรียกว่า เมืองนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)อยู่...หรืออย่างไร?
นิพพานแท้ = ปรินิพพาน = จิตว่างตลอดกาล เป็นจิตว่างอยู่ในแดนแห่งความว่างเปล่า ไม่มีห่าอะไรทั้งนั้น เรียกว่า พุทธภาวะเริ่มต้น หรือมหาสุญญตา
นิพพานแท้ = ปรินิพพาน = จิตว่างตลอดกาล สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฮวงโปกล่าวถึงไว้ว่า:
" ธรรมชาติ แห่งความเป็นพุทธะ ดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว. สิ่งนี้ เป็น ความว่าง, เป็นสิ่งที่มีอยู่ในที่ทุกแห่ง สงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน, มันเป็นศานติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ, และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง. จงเข้าไปสู่สิ่งนี้ให้ลึกซึ้งโดยการลืมตาต่อมันด้วยตัวเองเถิด...... "
ความสุขแท้จริงไม่มีทุกข์นั้น คือ จิตอยู่ในความว่างอย่างเดียว ดับจิตสังขารทั้งหมด มีแต่จิตอสังขตะ หรือจิตวิสังขาร(จิตไม่มีการปรุงแต่งสิ่งใด, หรือจิตไม่ปรุง หรือจิตปิดswictchทุกอย่าง-ปิดswitchจิตที่เป็นเจตสิก หรือ ปิดจิตสังขาร ซึ่งเป็นส่วนที่คิดนึก และปรุงแต่งไปเลย)
อธิบายให้ชัด
การดับจิตสังขารขั้นนี้ เป็นการดับสนิทเหมือนปิดswitchทั้งเครื่องรับเข้า และ เครื่องส่งออกของจิตทั้งหมด หมายความว่า กูไม่นำเข้าเรื่องราวใดๆอีกแล้วและกูก็ไม่ส่งออกความคิดนึกอะไรออกไปทั้งนั้นด้วย นี่เป็นจุดมุ่งหมายสุดท้ายที่พวกเราจะไปคือ....ไปเป็นจิตว่างอย่างเดียว เสวยสุขอันประเสริฐที่ไม่ได้มาจากเวทนา(ความรู้สึก)และสัญญา(ความจำ) โดยการเสวยบรมสุขนั้นอยู่ในแดนนิพพานแท้แห่งความว่างตลอดกาล ไม่มีการสร้างสิ่งใดออกมาอีกต่อไปแม้แต่กายธรรม(ธรรมกาย)ของกู กูก็ไม่สร้างแล้ว กูจะอยู่เป็นจิตว่างๆ(ธรรม)ของกูอย่างนั้นแหละ จะเรียกว่า กูเข้านิโรธสมาบัติตลอดกาลก็ได้
2. นิพพาน = พุทธเกษตร = แดนนิพพานที่มีบ้านมีเมือง = สวรรค์นิรันดร เป็นอย่างไร?
บ้านเมืองและผู้ที่อยู่ในนิพพาน ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งอมตะถาวร นี่คือ "อัตตา" ที่พระพุทธเจ้าพูดถึง ไม่มีการเกิด ไม่มีการแก่ ไม่มีการเจ็บ ไม่มีการตาย ในสวรรค์นิรันดร(แดนนิพพาน)แห่งนี้ นิพพานตัวนี้ คือ "อาตมัน" เข้าไปรวมกับ "ปรมาตมัน" ที่ศาสนาพราหมณ์พูดถึง ซึ่งเรียกตามแบบศาสนาพุทธก็คือ "พระอรหันต์สาวกต่างๆ" เข้าไปอยู่ร่วมกับ "พระพุทธเจ้าตถาคตของเขา"
นิพพานตัวนี้ต้องใช้จิตในส่วนที่เป็นเจตสิก หรือ สังขาร(สังขตะ) ซึ่งเป็นส่วนที่สามารถนึกคิดได้ของจิตที่ว่างเปล่าจากกิเลส ตัณหา และอวิชชา ให้เจตสิกช่วยนึกคิดปรุงแต่งสร้างบ้านเมืองและสร้างกายธรรม+กายทิพย์อมตะ(พระวิญญาณบริสุทธิ์)ออกมา
พระอรหันต์ต่างๆจะดับจิตสังขารของท่าน โดยวิธีรู้สิ่งใดภายนอก ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นสิ่งใดภายนอก ก็สักแต่ว่าเห็น ฯลฯ ไม่คิดนึกปรุงแต่งมันด้วยกิเลสตัณหา คือไม่ปรุงแต่งมันด้วยความโลภโกรธหลงอีกตลอดกาล
พอมีกิเลสตัณหา มีความโลกโกรธหลงเข้ามาใจจิตจากภาพที่เห็นและจากเสียงที่ได้ยิน ท่านก็จะรีบดับมันทันทีด้วยสติ - รู้ว่านี่กูกำลังโกรธอยู่ นี่กูกำลังโลภอยู่ นี่กูกำลังมีราคะอยู่ - เมื่อรู้แล้ว ก็มีสติรู้ทันทันที แล้วเข้าสู่จิตว่าง ไม่ไปคิดนึกมันต่อไปตามกิเลสตัณหา ตามความโลกโกรธหลง ที่เข้ามา ด้วยเหตุนี้ ความคิดนึก หรือการปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา ด้วยความโลกโกรธหลงก็จะหายไปฉับพลันทันทีเช่นกัน พระอรหันต์ท่านจะทำสติแบบนี้ จนเป็นสันดานติดตัวท่านไปเลย เพราะท่านเข็ดขยาดถาวรแล้วจากการคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา เลยมาคิดปรุงแต่งด้วยความว่างแทน กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจึงไม่มีกับท่านอีกต่อไปในนิพพาน มีแต่กฎนิจจัง สุขขัง อัตตา(จิตว่าง)
การเข้าถึงนิพพานที่มีบ้านมีเมืองตัวนี้ คือ การเข้าให้ถึง "ฝั่งโน้น" = เข้าถึงฝั่งอมตะ ฝั่งสวรรค์นิรันดร ฝั่งนิพพาน
พูดให้มันชัดเจนไปเลย...... เราจะเข้าถึงฝั่งอมตะได้โดยขจัดความโลภ โกรธ หลง ขจัดความยึดว่า กายมนุษย์(ขันธ์ 5) คือตัวกู... และขจัดความยึดติดว่าสิ่งภายนอกไม่ว่าลูกเมียเพื่อนฝูง เงินทอง รถยนต์ ฯลฯ...คือของกู เพราะว่า สิ่งเหล่านั้นล้วนเกิดจากกรรมดีกรรมชั่วที่กายมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ของเราเคยทำไว้ในอดีต ส่งผลหรือวิบากกรรมมาให้กายมนุษย์ในชาตินี้ของเรารับไว้เท่านั้น..... อย่าไปใส่ใจมัน มันเป็นคนละส่วนกับจิตปภัสสรอันบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นตัวจริงของเรา เราจะรู้ความจริงเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ได้ โดยการทำสมถะ(สมาธิ)และวิปัสสนากรรมฐาน จนถึงขั้นเป็นอรหันต์เท่านั้น
เมื่อเป็นอรหันต์แล้วจะได้กายใหม่ ซึ่งเป็นกายธรรม(ธรรมกาย) และจะได้กายทิพย์อมตะสัมโภคกายด้วย ที่ศาสนาอื่นเรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อเอาไว้ใช้งาน และช่วยสรรพชีวิตใน 31 ภพภูมิต่อไป นำสรรพชีวิตเหล่านี้ให้เข้าถึงฝั่งโน้น ซึ่งเป็นฝั่งอมตะ ฝั่งสวรรค์นิรันดร หรือ ฝั่งนิพพาน ตามเราต่อไป บางครั้งก็เรียก กายทิพย์อมตะสัมโภคกาย หรือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า "พระโพธิสัตว์อรหันต์"
ส่วนกายมนุษย์(ขันธ์ 5) กายสัตว์ กายเทวดา กายพรหม กายเปรต กายห่าอะไรในโลกและจักรวาลนี้ แม้แต่ตัวโลกและจักรวาลเอง มันล้วนเป็นอนัตตา(ไม่ใช่ตัวตนแท้จริง เป็นเพียงมายา) ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ภายใต้กฎอนิจจัง และเป็นพวกที่หนีความทุกข์ไม่พ้น พวกที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกรวมกันว่า พวกที่อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์-อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระพุทธเจ้าเรียกฝั่งสังสารวัฏ หรือฝั่ง 31 ภพภูมิว่า "ฝั่งนี้"
สรุป
ฝั่งนี้ = ฝั่งมิจฉาทิฐิอยู่ = ฝั่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา = ฝั่งมนุษย์และสรรพชีวิต เช่น มนุษย์ เปรต เทวดา พรหม ฯลฯใน 31 ภพภูมิ
ฝั่งโน้น = ฝั่งสัมมาทิฐิอยู่ = ฝั่งนิจจัง สุขขัง อัตตา = ฝั่งนิพพาน(ฝั่งสวรรค์นิรันดร, ฝั่งพุทธเกษตร) ของพวกกายทิพย์อมตะสัมโภคกาย หรือ ฝั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือฝั่ง "พระโพธิสัตว์อรหันต์"+ พุทธภูมิของพวกธรรมกาย ที่อยู่ในพุทธเกษตร
ฝั่งปรินิพพาน = ฝั่งจิตว่างตลอดกาล จิตว่างตลอดกาลไดต้องปิดswictchทุกอย่าง - ปิดเจตสิกหรือจิตสังขารไปเลย
ผมรู้แล้วว่า ทำไมเหล่าพุทธะต่างบอกว่า ผมจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกต่อจากพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า
อ้างถึง
Phonsakเขียน : ดวงจิตมันมี 2 ดวงครับ
1. จิตนิพพาน
จิตดวงนี้ไม่มีการท่องเที่ยวไป เพราะเป็นอสังขตะ เป็นวิราคะจิต วิสังขารจิต
ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
2. จิตสังขาร ซึ่งแต่เดิมเป็นจิตปภัสสร แต่เพราะโดนกิเลส ตัณหา อวิชชาครอบงำ จิตดวงนี้จึงต้องเที่ยวไปจากชาตินี้ไปชาติโน้นเรื่อยๆไม่สิ้นสุด จิตสังขารจะเร่ร่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในกายเนื้อและกายทิพย์ต่างๆไปตามกรรมที่แต่ละคนทำไว้ไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าจะเข้าถึงนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)
2. จิตสังขาร ซึ่งแต่เดิมเป็นจิตปภัสสร แต่เพราะโดนกิเลส ตัณหา อวิชชาครอบงำ จิตดวงนี้จึงต้องเที่ยวไปจากชาตินี้ไปชาติโน้นเรื่อยๆไม่สิ้นสุด จิตสังขารจะเร่ร่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในกายเนื้อและกายทิพย์ต่างๆไปตามกรรมที่แต่ละคนทำไว้ไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าจะเข้าถึงนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)
...
tonn โพสต์
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เอกะจะรัง จิตตัง…จิตดวงเดียวเที่ยวไป” จิตที่มีดวงเดียวนี้คือ จิตสังขาร ที่เป็นปภัสสร ความปภัสสรมันเสื่อมไป เราจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆใน 31 ภพภูมิ เราต้องดับและละลายดวงจิตปภัสสรดวงเดียวท่องเที่ยวไปดวงนี้ไปก่อน จึงจะได้จิตอีกตัวหนึ่งออกมา คือจิตนิพพาน หรือนิพพาน
555
แสดงว่า นิพพานจิต คุณพลศักดิ์ เป็นสังขารครับ
ถึงแสดง อาการ การออกมา
555
dhammajak โพสต์
tonn โพสต์
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เอกะจะรัง จิตตัง…จิตดวงเดียวเที่ยวไป” จิตที่มีดวงเดียวนี้คือ จิตสังขาร ที่เป็นปภัสสร ความปภัสสรมันเสื่อมไป เราจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆใน 31 ภพภูมิ เราต้องดับและละลายดวงจิตปภัสสรดวงเดียวท่องเที่ยวไปดวงนี้ไปก่อน จึงจะได้จิตอีกตัวหนึ่งออกมา คือจิตนิพพาน หรือนิพพาน
555
แสดงว่า นิพพานจิต คุณพลศักดิ์ เป็นสังขารครับ
ถึงแสดง อาการ การออกมา
555
dhammajak โพสต์
ตอบ
แม่นแล้วน้อง! พี่จะบอกให้ฟังนะ คำว่า นิพพานที่พระพุทธเจ้าแนะนำให้เข้าถึง มันมี 3 อย่าง ไม่ได้มีอย่างเดียว
1. นิพพานแท้ หรือปรินิพพาน ตัวนี้เป็นจิตที่ว่าง ปิดswitchการนำเข้าและส่งออกทุกอย่าง(ปิดเจตสิกและการคิดปรุงแต่ง(สังขาร)) อยู่เป็นความว่างอย่างเดียว ความว่างอย่างเดียวนี้คือ "ธรรม หรือนิพพานแท้ หรือปรินิพพาน"
นิพพานแท้ตัวนี้ คือสิ่งที่หลวงปู่ดู่บอกว่า "แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก” = มีจิตว่าง = ธรรม อยู่ในแดนว่าง
2. นิพพานที่มีบ้านมีเมือง มีกายของธรรม(ธรรมกาย) หรือกายนิพพาน(อายตนะนิพพาน)อาศัยอยู่ แต่เพราะกายธรรม(ธรรมกายหรืออายตนะนิพพาน)นั้น พูดคุยกันบางครั้งเท่านั้น นอกนั้นส่วนใหญ่อยู่ในนิโรธ ไม่ค่อยยุ่งกับเรื่องราวใน 31 ภพภูมิ ดังนั้นกายนิพพานหรือกายธรรมจึงปลีกตัวและแยกตัวเองออกไปอยู่ในพุทธภูมิ ซึ่งเป็นสถานที่แห่งหนึ่งในพุทธเกษตรแดนนิพพาน ก่อนไป...กายธรรมจะนิรมิตกายอมตะอีกกายหนึ่งออกมา เพื่อจะได้พูดคุยกันได้สะดวก และยังสามารถยุ่งกับเรื่องราวใน 31 ภพภูมิได้อีก ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดนิพพานประเภทที่ 3 ขึ้นมา คือ....
3. นิพพานที่เป็นกายทิพย์อมตะ(สัมโภคกาย หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์) = พระเจ้า = พระอรหันต์โพธิสัตว์ ตัวอย่างของกายทิพย์อมตะหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เรารู้จักกันดี ก็เช่น พระยะโฮวา พระเยซู เจ้าแม่กวนอิม พระอมิตาพุทธ พระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ ฯลฯ ที่สำคัญ...พระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นมีตัวมโนธรรมสูงสุดของพวกเราอยู่ด้วย
มโนธรรมสูงสุดของพวกเราตัวนี้ ไม่ใช่มโนธรรมตัวที่ชี้แนะเราในจิต ให้เราทำความดีทางโลกนะครับ เพราะมโนธรรมที่แนะนำให้ทำความดีทางโลกนั้น เป็นตัวมารความดี ที่สู้กับมารความชั่ว แต่ตัวมโนธรรมสูงสุดของเรา จะทำหน้าที่แนะนำให้เราละทิ้งทั้งความดีและความชั่ว ซึ่งเป็นกิเลสออกไปให้หมด เข้าไปหาความว่าง ไปหาสุขบริสุทธิ์ ไม่ใช่สุขจากกิเลสตัณหา
ในศาสนาอื่นเรียกมโนธรรมสูงสุด+มโนธรรมที่ชี้แนะให้เราทำความดีทางโลกว่า "พระเจ้า" พระพุทธเจ้าจึงต้องเปลี่ยนชื่อพระเจ้า และเปลี่ยนชื่อมโนธรรมสูงสุดว่า "พุทธะ" เพื่อชี้ให้เห็นว่าศาสนาพุทธแตกต่างจากศาสนาอื่นตรงที่ ชี้ทางให้เข้าหาความดับทุกข์นิรันดร ไปหาสุขบริสุทธิ์ คือ ความว่างจากกิเลสตัณหาในใจตลอดไป
ถาม
นิพพานจิต คุณพลศักดิ์ บอกมาเป็นสังขารใช่หรือเปล่า?
ตอบ นิพพานจิตที่ พลศักดิ์ และพระพุทธเจ้า กล่าวถึงเป็น นิพพานที่มีบ้านมีเมือง มีกายของธรรม(ธรรมกาย) และนิพพานที่มีกายทิพย์อมตะอยู่ ส่วนนิพพานที่ไมมีการยุ่งเกี่ยวใดๆกับโลกอีกแล้ว คือ ปรินิพพาน หรือมหาสุญญตา หรือพุทธภาวะเริ่มแรก ก่อนมีการสร้างโลกและจักรวาล นั่นเป็นเป้าหมายสุดท้ายเมื่อพวกเราเข้าสู่แดนนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)แล้ว
ส่วนที่ถามว่า นิพพานจิต คุณพลศักดิ์ บอกมาเป็นสังขารใช่หรือเปล่า? ตอบว่าใช่... เป็นสังขาร(การคิดปรุงแต่งที่ออกมาจากจิตบริสุทธิ์) - จะตอบว่าเป็นเจตสิกบริสุทธิ์ก็ได้ เพราะ...สังขารการคิดปรุงแต่งที่ออกมาจากจิตบริสุทธิ์ = เจตสิกบริสุทธิ์นั่นเอง
อนึ่ง นิพพานที่มีบ้านมีเมือง มีกายของธรรม(ธรรมกาย) และนิพพานที่มีกายทิพย์อมตะอยู่ ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่า "จิตจักรวาล" ชาวโลก เรียกว่า "God" พุทธมหายานเรียกว่า "พระโพธิสัตว์(อรหันต์)"
ผมยอมรับว่า มีผมPhonsakเพียงผู้เดียวที่รู้ได้ลึกซึ้งสุดหยั่งคาดแบบนี้ มิน่าล่ะทั้งเจ้าแม่กวนอิมภาคขาวและภาคดำ ทั้งเซ็กเซียนฮ่องเต้ ทั้งพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ ทั้งพระอมิตาภะพุทธเจ้า ทั้งพระกกุสันธะพุทธเจ้า และพระติกขคัมมะพุทธเจ้าองค์ปฐม หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า ต่างบอกว่าผมจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกต่อจากพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า
อ้างถึง
จิตว่าง
กลายเป็นจิตสังขารปรุงแต่งมั่ว ไปเสียแล้วจ่ะ ...
dhammajak โพสต์
ตอบ
เบื่อที่จะอธิบายให้คุณฟังจริงๆ จิตว่างมันมีเป็นจิตอยู่ในความว่างเฉยๆไม่ต้องมีกายเรียกว่าปรินิพพาน หรือนิพพานแท้
หลวงปู่ดู่: "เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้งสี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณ นั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก” .... อันนี้แหละ
หรือที่หลวงปู่ดูลย์อธิบายว่า : "นามเดิมก็คือความว่างของจักรวาล" .... ก็อันนี้แหละ อันเดียวกัน
แต่มันมีจิตว่างที่ยังต้องมีกายไว้ใช้ด้วย คือ ธรรมกาย และ กายทิพย์อมตะสัมโภคกาย
หลวงปู่ดู่: พูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ:
“เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน .....อันนี้แหละที่เจตสิกบริสุทธิ์ หรือสังขารบริสุทธิ์สร้างขึ้นมา
คุณไม่เข้าใจอีกหรือพระพุทธเจ้าต่างๆล้วนเป็นพระเจ้าที่เป็นพระบิดา พวกท่านสามารถสร้างโลกและจักรวาลให้พวกมนุษย์และ 31 ภพภูมิอยู่ได้ แล้วพวกท่านจะไม่มีปัญญาเนรมิตบ้านเมืองและกายให้จิตที่บริสุทธิ์ ที่ยังไม่ต้องการปรินิพพานอยู่ ที่เรียกว่า เมืองนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)อยู่...หรืออย่างไร?
0 comments:
แสดงความคิดเห็น