สติปัฏฐาน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องมีสติ
ตั้งมั่นแน่วแน่ให้มีสติอยู่เสมอ เพราะสติปัฏฐาน แปลว่า สติที่ตั้งมั่น
แล้วมีสัมมาสติระลึกรู้ สติระลึกรู้นั้นจะพ้นจากการคิดโดยตั้งใจ
แต่เกิดจากจิตจำสภาวะเดิมแท้จริงของตนได้
แล้วระลึกรู้โดยอัตโนมัติได้เอง
- คำว่า "สติ" หมายถึงความระลึกรู้
- "ปัฏฐาน" ในมหาสติปัฏฐานสูตร และ สติปัฏฐานสูตร หมายถึง ความตั้งมั่น, ความแน่วแน่, ความมุ่งมั่น
- จิตจำสภาวะเดิมแท้จริงของตนได้ แล้วระลึกรู้โดยอัตโนมัติได้เอง จำสภาวะเดิมแท้จริงได้คืออะไร?
ก็จำสภาวะเดิมเบื้องต้นของพวกเราได้ว่า พวกเราทั้งหมดนั่นแหละ แท้จริงเป็นจิตปภัสสร เป็นพุทธะ = แท้จริงเราเป็นอรหันต์ แท้จริงเราเป็นพระเจ้า(พระบุตร)อยู่แล้ว เราแค่ลงมาเล่นเกมส์ค้นหาตัวเองให้พบเท่านั้น
- ถ้าเราพบโดยการปฏิบัติได้จริง เราก็จะได้กลับนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)บ้านเดิมของเราสักที
- ถ้าเราไม่สามารถปฏิบัติได้จริง เราก็ยังไม่พบตัวเราเองที่เป็นจิตปภัสสร เป็นพระอรหันต์ ดังนั้นเราก็ยังกลับบ้านเก่าที่ไม่มีทุกข์ไม่ได้ เราจึงต้องวนเวียนเล่นเกมเวียนว่ายตายเกิดนี้ต่อไปใน 31 ภพภูมิ
+++ ถ้าเป็นในศาสนาพุทธมหายานนิกายสุขาวดี ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม เขาก็ต้องอยู่ในสวรรค์ชั้นล่างๆที่ไม่ใช่ชั้นสูงสุดในศาสนานั้นต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากสวรรค์ของศาสนาทั้ง 3 - พุทธมหายานนิกายสุขาวดี คริสต์ อิสลาม สวรรค์ของเขาเป็นพุทธเกษตรที่ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก จึงไม่ต้องลงมาเกิดรับกรรมเป็นมนุษย์อีก +++
คำว่า "พุทโธ" ที่แปลว่า รู้แล้ว ตื่นแล้ว เบิกบานแล้ว หมายถึงอะไรกันแน่?
คำว่า "พุทโธ" ที่แปลว่า รู้แล้ว ตื่นแล้ว เบิกบานแล้ว ก็หมายถึง เราได้ปัญญาเห็นแจ้งสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงแล้ว เราจึงเบิกบานมีความสุขบริสุทธิ์ที่แช่มชื่นปราศจากกิเลสทั้งปวงแล้ว
เราเคยชินกับความสุขทางโลกที่ได้จากการเสพกิเลสตัณหามานาน พอไปปฏิบัติสมาธิ เราก็พบกับความสุขจากฌานในแต่ละระดับอีก เราจึงมองไม่เห็นความสุขบริสุทธิ์แช่มชื่นจากความว่าง ไม่เสพอะไรเลย
ความจริงของเรื่องนี้ก็คือ เรามีตัวเราอีกตัวหนึ่งหรืออีกจิตหนึ่ง ที่เป็นพระอรหันต์ดับทุกข์ได้แล้ว นอนรอเราอยู่ในนิพพาน แต่เราก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมาเป็นท่านสักที ตัวจริงของเราที่เป็นอรหันต์จึงต้องรอเก้อเป็นล้านๆๆๆๆๆๆปี เพราะเราที่เป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก หลงอยู่ในความฝันไม่ยอมตื่น
กิเลสตัณหาและอวิชชาเป็นตัวทำให้เราฝันอยู่ และฝันไปเรื่อยๆในสังสารวัฏ ข้ามภพข้ามชาติไปไม่มีวันสิ้นสุด คือ ไม่ยอมตื่นขึ้น เพื่อกลับเข้าไปในโลกนิพพาน ซึ่งเป็นสวรรค์นิรันดร
ตราบใดที่เรา(จิตสังขารไม่บริสุทธิ์อยู่ในโลกนี้) ยังคงอยู่ในความฝันเสมือนจริงในโลกมนุษย์และใน 31 ภพภูมิ ตราบนั้นเรา(จิตบริสุทธิ์ที่อยู่ในโลกนิพพาน)ก็ตื่นขึ้นไม่ได้
พระพุทธเจ้าเตือนเราตลอดและเสมอให้ตื่นขึ้น ให้รู้ตัวได้แล้ว เมื่อเราทำสมถะหรือวิปัสสนากรรมฐานด้วยคำบริกรรมว่า "พุทโธ" แต่เราก็ไม่เคยสนใจเลยว่า คำบริกรรม "พุทโธ" คืออะไรกันแน่ แล้วพระพุทธเจ้ายังเตือนเราอีกด้วยในความหมายของคำว่า "สติปัฏฐาน" แต่กิเลสตัณหาหรือมารในใจของเรา ก็ทำให้พวกเราก็ไม่เคยใส่ใจจะหาความหมายแท้จริงของคำว่า "สติปัฏฐาน" และ "พุทโธ" เลย
- คำว่า "สติ" หมายถึงความระลึกรู้
- "ปัฏฐาน" ในมหาสติปัฏฐานสูตร และ สติปัฏฐานสูตร หมายถึง ความตั้งมั่น, ความแน่วแน่, ความมุ่งมั่น
- จิตจำสภาวะเดิมแท้จริงของตนได้ แล้วระลึกรู้โดยอัตโนมัติได้เอง จำสภาวะเดิมแท้จริงได้คืออะไร?
ก็จำสภาวะเดิมเบื้องต้นของพวกเราได้ว่า พวกเราทั้งหมดนั่นแหละ แท้จริงเป็นจิตปภัสสร เป็นพุทธะ = แท้จริงเราเป็นอรหันต์ แท้จริงเราเป็นพระเจ้า(พระบุตร)อยู่แล้ว เราแค่ลงมาเล่นเกมส์ค้นหาตัวเองให้พบเท่านั้น
- ถ้าเราพบโดยการปฏิบัติได้จริง เราก็จะได้กลับนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)บ้านเดิมของเราสักที
- ถ้าเราไม่สามารถปฏิบัติได้จริง เราก็ยังไม่พบตัวเราเองที่เป็นจิตปภัสสร เป็นพระอรหันต์ ดังนั้นเราก็ยังกลับบ้านเก่าที่ไม่มีทุกข์ไม่ได้ เราจึงต้องวนเวียนเล่นเกมเวียนว่ายตายเกิดนี้ต่อไปใน 31 ภพภูมิ
+++ ถ้าเป็นในศาสนาพุทธมหายานนิกายสุขาวดี ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม เขาก็ต้องอยู่ในสวรรค์ชั้นล่างๆที่ไม่ใช่ชั้นสูงสุดในศาสนานั้นต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากสวรรค์ของศาสนาทั้ง 3 - พุทธมหายานนิกายสุขาวดี คริสต์ อิสลาม สวรรค์ของเขาเป็นพุทธเกษตรที่ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก จึงไม่ต้องลงมาเกิดรับกรรมเป็นมนุษย์อีก +++
คำว่า "พุทโธ" ที่แปลว่า รู้แล้ว ตื่นแล้ว เบิกบานแล้ว หมายถึงอะไรกันแน่?
คำว่า "พุทโธ" ที่แปลว่า รู้แล้ว ตื่นแล้ว เบิกบานแล้ว ก็หมายถึง เราได้ปัญญาเห็นแจ้งสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงแล้ว เราจึงเบิกบานมีความสุขบริสุทธิ์ที่แช่มชื่นปราศจากกิเลสทั้งปวงแล้ว
เราเคยชินกับความสุขทางโลกที่ได้จากการเสพกิเลสตัณหามานาน พอไปปฏิบัติสมาธิ เราก็พบกับความสุขจากฌานในแต่ละระดับอีก เราจึงมองไม่เห็นความสุขบริสุทธิ์แช่มชื่นจากความว่าง ไม่เสพอะไรเลย
ความจริงของเรื่องนี้ก็คือ เรามีตัวเราอีกตัวหนึ่งหรืออีกจิตหนึ่ง ที่เป็นพระอรหันต์ดับทุกข์ได้แล้ว นอนรอเราอยู่ในนิพพาน แต่เราก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมาเป็นท่านสักที ตัวจริงของเราที่เป็นอรหันต์จึงต้องรอเก้อเป็นล้านๆๆๆๆๆๆปี เพราะเราที่เป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก หลงอยู่ในความฝันไม่ยอมตื่น
กิเลสตัณหาและอวิชชาเป็นตัวทำให้เราฝันอยู่ และฝันไปเรื่อยๆในสังสารวัฏ ข้ามภพข้ามชาติไปไม่มีวันสิ้นสุด คือ ไม่ยอมตื่นขึ้น เพื่อกลับเข้าไปในโลกนิพพาน ซึ่งเป็นสวรรค์นิรันดร
ตราบใดที่เรา(จิตสังขารไม่บริสุทธิ์อยู่ในโลกนี้) ยังคงอยู่ในความฝันเสมือนจริงในโลกมนุษย์และใน 31 ภพภูมิ ตราบนั้นเรา(จิตบริสุทธิ์ที่อยู่ในโลกนิพพาน)ก็ตื่นขึ้นไม่ได้
พระพุทธเจ้าเตือนเราตลอดและเสมอให้ตื่นขึ้น ให้รู้ตัวได้แล้ว เมื่อเราทำสมถะหรือวิปัสสนากรรมฐานด้วยคำบริกรรมว่า "พุทโธ" แต่เราก็ไม่เคยสนใจเลยว่า คำบริกรรม "พุทโธ" คืออะไรกันแน่ แล้วพระพุทธเจ้ายังเตือนเราอีกด้วยในความหมายของคำว่า "สติปัฏฐาน" แต่กิเลสตัณหาหรือมารในใจของเรา ก็ทำให้พวกเราก็ไม่เคยใส่ใจจะหาความหมายแท้จริงของคำว่า "สติปัฏฐาน" และ "พุทโธ" เลย
0 comments:
แสดงความคิดเห็น