1. สติปัฏฐาน 4 (วิปัสสนา) เป็นการเปิดประตูการพ้นโลก
ดับทุกข์ถาวร
เราต้องทำสติปัฏฐาน 4 อย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็เพราะว่า พวกเราคิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้สักทีว่า จะดับทุกข์ถาวรได้อย่างไร
เนื่องจาก เราไม่รู้ว่า จิตเดิมแท้ของตัวเราเองเป็นพุทธะ, อรหันต์, จิตปภัสสร อันมหาบริสุทธิ์อยู่ก่อนแล้ว - ต่อเมื่อเราปฏิบัติจนหยุดคิดได้จริงๆ
เราจึงรู้ความลับที่พวกเราเหล่าอรหันต์ซ่อนเร้นเอาไว้
การเจริญสติปัฏฐาน 4 จึงเหมือนเป็นกุญแจกลับเข้าสู่บ้านเก่าของเราที่ไม่มีความทุกข์อยู่ คือ เข้านิพพาน
เมื่อจิต(สังขาร-คิดปรุงแต่ง)กับผู้รู้(สติ-ความระลึกได้)กลับกลายเป็นสิ่งเดียวกันแล้ว คือ กลายเป็นจิตปภัสสร ซึ่งเป็นจิตว่างเปล่าจากกิเลสตัณหาและอวิชชาทั้งมวลแล้ว จิตนั้นจะเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของตนเอง จิตย่อมเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง จิตจะจำหรือระลึกได้ถึง สภาวะเดิมอันมหาบริสุทธิ์ของตนได้ แล้วระลึกรู้โดยอัตโนมัติว่า จิตเดิมแท้ของตนเองเป็นจิตปภัสสร เป็นจิตอรหันต์อยู่แล้ว แต่เพราะจิตไปหลงกลอวิชชา กิเลส ตัณหา ความบริสุทธิ์แห่งจิตเดิมแท้ของตนจึงเสื่อม กลายเป็นจิตไม่บริสุทธิ์ หรือจิตสังขาร(คิดปรุงแต่ง)ไป แล้วต้องมาวนเวียนอยู่ใน 3 ภพนานมากๆๆๆๆ จนไม่มีที่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม ตอนเริ่มต้นของการฝึกจิต - สติปัฏฐาน 4 อย่างใดอย่างหนึ่ง - เราก็ต้องอาศัยการคิดช่วยด้วย แต่การคิดนั้นก็เพื่อนำจิตสังขาร(คิดปรุงแต่ง)ของตนเองไปสู่การหยุดคิดในที่สุดนั่นเอง
เรายิ่งคิดนึกปรุงแต่ง..มากเท่าไร เราย่อมไม่รู้จัก นิโรธ-การดับทุกข์..มากขึ้นเท่านั้น แท้จริงแล้ว การกลับไปเป็นสภาวะเดิมแท้เริ่มต้นของเรา ที่ว่างเปล่าปราศจากกิเลสตัณหาและอวิชชานั้นดีที่สุดอยู่แล้ว หมายความว่า
- จิตปภัสสรว่างเปล่าจากการคิดปรุงแต่งต่างๆเป็นสุขอันประเสริฐ เป็นการดับทุกข์อยู่แล้ว
พูดอีกนัยหนึ่ง เมื่อเราคิดนึกปรุงแต่ง เรากำลังทำให้เกิดความรู้สึก(เวทนา) หรือทำให้เกิดอารมณ์(เวทนา) โดยเฉพาะเมื่อมีกิเลสตัณหาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว การคิดอันมีกิเลสตัณหานั้น มันจะนำไปสู่ความสุขอันไม่จีรัง และ จะนำไปสู่ความทุกข์ในที่สุดเสมอ.... ไม่ช้าก็เร็ว
แต่การที่จะเข้าถึงนิโรธ หรือความดับทุกข์ได้นั้น ในตอนเริ่มต้น เราก็จำเป็นต้องอาศัยการคิดและการบังคับจิตเป็นเครื่องมือประกอบด้วย จนถึงขั้นสุดท้าย เราก็ต้องทิ้งความคิดหรือเครื่องมือทางโลกนั้นไป เราจึงจะเข้าถึงสัจธรรมความจริง หรือธรรมอันประเสริฐ ของการดับทุกข์
ธรรมอันประเสริฐ ของการดับทุกข์ - จิตต้องว่างเสมอ รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ทำจิตให้ว่าง ไม่คิดปรุงแต่ง โดยไม่นำเรื่องภายนอก ซึ่งเกิดจากวิบากกรรมของเราส่งผลมาให้เราทางอายตนะต่างๆ เช่น ตา หู และร่างกาย เข้ามาปรุงแต่งเป็นอารมณ์โกรธ เกลียด ฯลฯ เมื่อจิตเราว่างจากการคิดปรุงแต่ง ความทุกข์มันจึงเข้ามาในจิตของเราไม่ได้
หลวงปูดูลย์ อตุโล ท่านสอนถูกแล้วว่า การดูจิต ไม่ต้องใช้สมาธิ หรือใช้เพียงสมาธิอ่อนๆ เช่น ขณิกะสมาธิ ก็พอแล้ว
2. การเปิดภวังค์และนิมิตในสมาธิ(ในสมถะกรรมฐาน) เป็นการเปิดประตูมิติ
การใช้สมาธิระดับสูง โดยเฉพาะขั้นฌาน 4 และสูงกว่าคือ อรูปฌาน มันลึกละเอียดมาก ทำให้เกิดภวังค์และนิมิตต่างๆ ภวังค์และนิมิตต่างๆเป็นการเปิดประตูมิติ เข้าไปรับรู้เรื่องทางโลกและ 31 ภพภูมิ ซึ่งเป็นเรื่องของจิต(สังขาร)ต่างๆ ที่ยังไม่บริสุทธิ์
- การเปิดประตูมิติ หรือเปิดภวังค์และนิมิตต่างๆ เป็นเรื่องของ สมถะกรรมฐาน หรือ เรื่องของสมาธิล้วนๆ ซึ่งจะทำให้ได้กุญแจไขความลับทางโลก หรือได้ "ปัญญาทางโลก"
- ส่วนการเปิดประตูนิพพานเป็นเรื่องของ วิปัสสนากรรมฐาน(การเจริญสติปัฏฐาน 4) ซึ่งจะทำให้ได้กุญแจไขความลับทางธรรม หรือได้ "ปัญญาทางธรรม" ในการดับทุกข์ถาวร
สรุป
ผลลัพธ์สูงสุดของสติปัฏฐาน 4 เป็นเรื่องของสัจธรรมที่นำไปสู่การดับทุกข์ทั้งมวล คือ ทำให้เห็นสภาวะเดิมแห่งจิตของตนว่า ตนเองเป็นพระอรหันต์(พระเจ้า)อยู่แล้ว จิตเป็นปภัสสรอยู่แล้ว
ผลลัพธ์สูงสุดของสติปัฏฐาน 4 = ได้จิตที่ว่างเปล่าจากกิเลสตัณหาและอวิชชา ซึ่งเป็นการเปิดและเข้าประตูนิพพาน บ้านเดิมของตนเอง นั่นเอง
3. มนุษย์ สัตว์ เทพ พรหม เปรต ยักษ์ อสูร ฯลฯ ล้วนกำลังอยู่ในโลกของความฝัน ที่ผลกรรมของเราส่งผลมา
พวกเราเหล่ามนุษย์ และสรรพจิตไม่บริสุทธิ์(จิตสังขาร)ใน 3 ภพ 31 ภพภูมิ ล้วนเป็นความฝันเฟื่องเสมือนจริงเท่านั้น เพราะพวกเราเหล่าอรหันต์อนุญาตให้กิเลสตัณหาและอวิชชาเข้ามาลวงจิตปภัสสรเราได้ เพื่อว่าพวกเราจะได้ลงมาทดลองการใช้ชีวิต ที่ไม่อมตะในภพภูมิอื่นๆดูว่า ดีเลวกว่าชีวิตอมตะที่เกิดจากจิตว่างของเราเพียงใด
เราต้องอยู่ในสภาวะจิตว่างเป็นพระเจ้าชั่วนิรันดรอยู่แล้ว เราจึงลองมาใช้ชีวิตไม่อมตะ เป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นเปรต ฯลฯ ดูบ้าง มันก็เท่านั้น
การจะรู้ความจริงในเรื่องของ 3 ภพ หรือ 31 ภพภูมิ ต้องอาศัยสมถะกรรมฐาน(สมาธิ)ชั้นสูงขั้นฌาน 4 หรือสูงกว่าขึ้นไป จึงจะเปิดประตูมิติในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ การเปิดภวังค์และนิมิตต่างๆจากฌานชั้นสูง เป็นการเปิดประตูมิติเพื่อจะได้รับรู้เรื่องราวของทุกภพทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
อนึ่ง จิตมนุษย์ เทพ พรหม เปรต ฯลฯ ล้วนเป็นจิตอันยังไม่บริสุทธิ์ จิตไม่บริสุทธิ์เหล่านั้น มันเป็นแค่จิตเปลือกนอกที่ห่อหุ้มจิตบริสุทธิ์ หรือ "จิตปภัสสร หรือ จิตอรหันต์" ที่เป็นแก่นแท้ของจิตของเราเอาไว้เท่านั้น
มนุษย์เองนำกิเลสตัณหาอวิชชา และความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ เข้ามาปิดบัง จิตเดิมแท้ ที่มหาบริสุทธิ์ของตนเองเอาไว้ ทำให้พวกเขามองไม่เห็นจิตปภัสสร หรือ จิตอรหันต์ ที่เป็นจิตเดิมแท้ของตัวเอง
การเจริญสติปัฏฐาน 4 จึงเหมือนเป็นกุญแจกลับเข้าสู่บ้านเก่าของเราที่ไม่มีความทุกข์อยู่ คือ เข้านิพพาน
เมื่อจิต(สังขาร-คิดปรุงแต่ง)กับผู้รู้(สติ-ความระลึกได้)กลับกลายเป็นสิ่งเดียวกันแล้ว คือ กลายเป็นจิตปภัสสร ซึ่งเป็นจิตว่างเปล่าจากกิเลสตัณหาและอวิชชาทั้งมวลแล้ว จิตนั้นจะเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของตนเอง จิตย่อมเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง จิตจะจำหรือระลึกได้ถึง สภาวะเดิมอันมหาบริสุทธิ์ของตนได้ แล้วระลึกรู้โดยอัตโนมัติว่า จิตเดิมแท้ของตนเองเป็นจิตปภัสสร เป็นจิตอรหันต์อยู่แล้ว แต่เพราะจิตไปหลงกลอวิชชา กิเลส ตัณหา ความบริสุทธิ์แห่งจิตเดิมแท้ของตนจึงเสื่อม กลายเป็นจิตไม่บริสุทธิ์ หรือจิตสังขาร(คิดปรุงแต่ง)ไป แล้วต้องมาวนเวียนอยู่ใน 3 ภพนานมากๆๆๆๆ จนไม่มีที่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม ตอนเริ่มต้นของการฝึกจิต - สติปัฏฐาน 4 อย่างใดอย่างหนึ่ง - เราก็ต้องอาศัยการคิดช่วยด้วย แต่การคิดนั้นก็เพื่อนำจิตสังขาร(คิดปรุงแต่ง)ของตนเองไปสู่การหยุดคิดในที่สุดนั่นเอง
เรายิ่งคิดนึกปรุงแต่ง..มากเท่าไร เราย่อมไม่รู้จัก นิโรธ-การดับทุกข์..มากขึ้นเท่านั้น แท้จริงแล้ว การกลับไปเป็นสภาวะเดิมแท้เริ่มต้นของเรา ที่ว่างเปล่าปราศจากกิเลสตัณหาและอวิชชานั้นดีที่สุดอยู่แล้ว หมายความว่า
- จิตปภัสสรว่างเปล่าจากการคิดปรุงแต่งต่างๆเป็นสุขอันประเสริฐ เป็นการดับทุกข์อยู่แล้ว
พูดอีกนัยหนึ่ง เมื่อเราคิดนึกปรุงแต่ง เรากำลังทำให้เกิดความรู้สึก(เวทนา) หรือทำให้เกิดอารมณ์(เวทนา) โดยเฉพาะเมื่อมีกิเลสตัณหาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว การคิดอันมีกิเลสตัณหานั้น มันจะนำไปสู่ความสุขอันไม่จีรัง และ จะนำไปสู่ความทุกข์ในที่สุดเสมอ.... ไม่ช้าก็เร็ว
แต่การที่จะเข้าถึงนิโรธ หรือความดับทุกข์ได้นั้น ในตอนเริ่มต้น เราก็จำเป็นต้องอาศัยการคิดและการบังคับจิตเป็นเครื่องมือประกอบด้วย จนถึงขั้นสุดท้าย เราก็ต้องทิ้งความคิดหรือเครื่องมือทางโลกนั้นไป เราจึงจะเข้าถึงสัจธรรมความจริง หรือธรรมอันประเสริฐ ของการดับทุกข์
ธรรมอันประเสริฐ ของการดับทุกข์ - จิตต้องว่างเสมอ รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ทำจิตให้ว่าง ไม่คิดปรุงแต่ง โดยไม่นำเรื่องภายนอก ซึ่งเกิดจากวิบากกรรมของเราส่งผลมาให้เราทางอายตนะต่างๆ เช่น ตา หู และร่างกาย เข้ามาปรุงแต่งเป็นอารมณ์โกรธ เกลียด ฯลฯ เมื่อจิตเราว่างจากการคิดปรุงแต่ง ความทุกข์มันจึงเข้ามาในจิตของเราไม่ได้
หลวงปูดูลย์ อตุโล ท่านสอนถูกแล้วว่า การดูจิต ไม่ต้องใช้สมาธิ หรือใช้เพียงสมาธิอ่อนๆ เช่น ขณิกะสมาธิ ก็พอแล้ว
2. การเปิดภวังค์และนิมิตในสมาธิ(ในสมถะกรรมฐาน) เป็นการเปิดประตูมิติ
การใช้สมาธิระดับสูง โดยเฉพาะขั้นฌาน 4 และสูงกว่าคือ อรูปฌาน มันลึกละเอียดมาก ทำให้เกิดภวังค์และนิมิตต่างๆ ภวังค์และนิมิตต่างๆเป็นการเปิดประตูมิติ เข้าไปรับรู้เรื่องทางโลกและ 31 ภพภูมิ ซึ่งเป็นเรื่องของจิต(สังขาร)ต่างๆ ที่ยังไม่บริสุทธิ์
- การเปิดประตูมิติ หรือเปิดภวังค์และนิมิตต่างๆ เป็นเรื่องของ สมถะกรรมฐาน หรือ เรื่องของสมาธิล้วนๆ ซึ่งจะทำให้ได้กุญแจไขความลับทางโลก หรือได้ "ปัญญาทางโลก"
- ส่วนการเปิดประตูนิพพานเป็นเรื่องของ วิปัสสนากรรมฐาน(การเจริญสติปัฏฐาน 4) ซึ่งจะทำให้ได้กุญแจไขความลับทางธรรม หรือได้ "ปัญญาทางธรรม" ในการดับทุกข์ถาวร
สรุป
ผลลัพธ์สูงสุดของสติปัฏฐาน 4 เป็นเรื่องของสัจธรรมที่นำไปสู่การดับทุกข์ทั้งมวล คือ ทำให้เห็นสภาวะเดิมแห่งจิตของตนว่า ตนเองเป็นพระอรหันต์(พระเจ้า)อยู่แล้ว จิตเป็นปภัสสรอยู่แล้ว
ผลลัพธ์สูงสุดของสติปัฏฐาน 4 = ได้จิตที่ว่างเปล่าจากกิเลสตัณหาและอวิชชา ซึ่งเป็นการเปิดและเข้าประตูนิพพาน บ้านเดิมของตนเอง นั่นเอง
3. มนุษย์ สัตว์ เทพ พรหม เปรต ยักษ์ อสูร ฯลฯ ล้วนกำลังอยู่ในโลกของความฝัน ที่ผลกรรมของเราส่งผลมา
พวกเราเหล่ามนุษย์ และสรรพจิตไม่บริสุทธิ์(จิตสังขาร)ใน 3 ภพ 31 ภพภูมิ ล้วนเป็นความฝันเฟื่องเสมือนจริงเท่านั้น เพราะพวกเราเหล่าอรหันต์อนุญาตให้กิเลสตัณหาและอวิชชาเข้ามาลวงจิตปภัสสรเราได้ เพื่อว่าพวกเราจะได้ลงมาทดลองการใช้ชีวิต ที่ไม่อมตะในภพภูมิอื่นๆดูว่า ดีเลวกว่าชีวิตอมตะที่เกิดจากจิตว่างของเราเพียงใด
เราต้องอยู่ในสภาวะจิตว่างเป็นพระเจ้าชั่วนิรันดรอยู่แล้ว เราจึงลองมาใช้ชีวิตไม่อมตะ เป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นเปรต ฯลฯ ดูบ้าง มันก็เท่านั้น
การจะรู้ความจริงในเรื่องของ 3 ภพ หรือ 31 ภพภูมิ ต้องอาศัยสมถะกรรมฐาน(สมาธิ)ชั้นสูงขั้นฌาน 4 หรือสูงกว่าขึ้นไป จึงจะเปิดประตูมิติในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ การเปิดภวังค์และนิมิตต่างๆจากฌานชั้นสูง เป็นการเปิดประตูมิติเพื่อจะได้รับรู้เรื่องราวของทุกภพทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
อนึ่ง จิตมนุษย์ เทพ พรหม เปรต ฯลฯ ล้วนเป็นจิตอันยังไม่บริสุทธิ์ จิตไม่บริสุทธิ์เหล่านั้น มันเป็นแค่จิตเปลือกนอกที่ห่อหุ้มจิตบริสุทธิ์ หรือ "จิตปภัสสร หรือ จิตอรหันต์" ที่เป็นแก่นแท้ของจิตของเราเอาไว้เท่านั้น
มนุษย์เองนำกิเลสตัณหาอวิชชา และความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ เข้ามาปิดบัง จิตเดิมแท้ ที่มหาบริสุทธิ์ของตนเองเอาไว้ ทำให้พวกเขามองไม่เห็นจิตปภัสสร หรือ จิตอรหันต์ ที่เป็นจิตเดิมแท้ของตัวเอง
0 comments:
แสดงความคิดเห็น