A A

8 มีนาคม 2558

สมาธิหรือสมถะเป็นการเปิดประตูความรู้ทางโลก วิปัสสนาเป็นการเปิดประตูการพ้นโลก

1.  สติปัฏฐาน 4 (วิปัสสนา) เป็นการเปิดประตูการพ้นโลก ดับทุกข์ถาวร
เราต้องทำสติปัฏฐาน 4 อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เพราะว่า  พวกเราคิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้สักทีว่า จะดับทุกข์ถาวรได้อย่างไร  เนื่องจาก เราไม่รู้ว่า จิตเดิมแท้ของตัวเราเองเป็นพุทธะ, อรหันต์, จิตปภัสสร อันมหาบริสุทธิ์อยู่ก่อนแล้ว - ต่อเมื่อเราปฏิบัติจนหยุดคิดได้จริงๆ  เราจึงรู้ความลับที่พวกเราเหล่าอรหันต์ซ่อนเร้นเอาไว้

การเจริญสติปัฏฐาน 4 จึงเหมือนเป็นกุญแจกลับเข้าสู่บ้านเก่าของเราที่ไม่มีความทุกข์อยู่ คือ เข้านิพพาน

เมื่อจิต(สังขาร-คิดปรุงแต่ง)กับผู้รู้(สติ-ความระลึกได้)กลับกลายเป็นสิ่งเดียวกันแล้ว  คือ กลายเป็นจิตปภัสสร  ซึ่งเป็นจิตว่างเปล่าจากกิเลสตัณหาและอวิชชาทั้งมวลแล้ว  จิตนั้นจะเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของตนเอง  จิตย่อมเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง จิตจะจำหรือระลึกได้ถึง สภาวะเดิมอันมหาบริสุทธิ์ของตนได้  แล้วระลึกรู้โดยอัตโนมัติว่า  จิตเดิมแท้ของตนเองเป็นจิตปภัสสร  เป็นจิตอรหันต์อยู่แล้ว  แต่เพราะจิตไปหลงกลอวิชชา กิเลส ตัณหา  ความบริสุทธิ์แห่งจิตเดิมแท้ของตนจึงเสื่อม  กลายเป็นจิตไม่บริสุทธิ์ หรือจิตสังขาร(คิดปรุงแต่ง)ไป  แล้วต้องมาวนเวียนอยู่ใน 3 ภพนานมากๆๆๆๆ  จนไม่มีที่สิ้นสุด

อย่างไรก็ตาม ตอนเริ่มต้นของการฝึกจิต - สติปัฏฐาน 4 อย่างใดอย่างหนึ่ง - เราก็ต้องอาศัยการคิดช่วยด้วย แต่การคิดนั้นก็เพื่อนำจิตสังขาร(คิดปรุงแต่ง)ของตนเองไปสู่การหยุดคิดในที่สุดนั่นเอง

เรายิ่งคิดนึกปรุงแต่ง..มากเท่าไร  เราย่อมไม่รู้จัก นิโรธ-การดับทุกข์..มากขึ้นเท่านั้น  แท้จริงแล้ว การกลับไปเป็นสภาวะเดิมแท้เริ่มต้นของเรา  ที่ว่างเปล่าปราศจากกิเลสตัณหาและอวิชชานั้นดีที่สุดอยู่แล้ว  หมายความว่า

-  จิตปภัสสรว่างเปล่าจากการคิดปรุงแต่งต่างๆเป็นสุขอันประเสริฐ เป็นการดับทุกข์อยู่แล้ว

พูดอีกนัยหนึ่ง  เมื่อเราคิดนึกปรุงแต่ง เรากำลังทำให้เกิดความรู้สึก(เวทนา) หรือทำให้เกิดอารมณ์(เวทนา) โดยเฉพาะเมื่อมีกิเลสตัณหาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว  การคิดอันมีกิเลสตัณหานั้น  มันจะนำไปสู่ความสุขอันไม่จีรัง และ จะนำไปสู่ความทุกข์ในที่สุดเสมอ.... ไม่ช้าก็เร็ว  

แต่การที่จะเข้าถึงนิโรธ หรือความดับทุกข์ได้นั้น  ในตอนเริ่มต้น เราก็จำเป็นต้องอาศัยการคิดและการบังคับจิตเป็นเครื่องมือประกอบด้วย  จนถึงขั้นสุดท้าย  เราก็ต้องทิ้งความคิดหรือเครื่องมือทางโลกนั้นไป  เราจึงจะเข้าถึงสัจธรรมความจริง หรือธรรมอันประเสริฐ ของการดับทุกข์

ธรรมอันประเสริฐ ของการดับทุกข์  -  จิตต้องว่างเสมอ  รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น  ทำจิตให้ว่าง ไม่คิดปรุงแต่ง โดยไม่นำเรื่องภายนอก ซึ่งเกิดจากวิบากกรรมของเราส่งผลมาให้เราทางอายตนะต่างๆ เช่น ตา หู และร่างกาย เข้ามาปรุงแต่งเป็นอารมณ์โกรธ เกลียด ฯลฯ  เมื่อจิตเราว่างจากการคิดปรุงแต่ง  ความทุกข์มันจึงเข้ามาในจิตของเราไม่ได้

หลวงปูดูลย์ อตุโล  ท่านสอนถูกแล้วว่า  การดูจิต  ไม่ต้องใช้สมาธิ หรือใช้เพียงสมาธิอ่อนๆ เช่น ขณิกะสมาธิ ก็พอแล้ว

2.  การเปิดภวังค์และนิมิตในสมาธิ(ในสมถะกรรมฐาน) เป็นการเปิดประตูมิติ

การใช้สมาธิระดับสูง โดยเฉพาะขั้นฌาน 4 และสูงกว่าคือ อรูปฌาน  มันลึกละเอียดมาก  ทำให้เกิดภวังค์และนิมิตต่างๆ  ภวังค์และนิมิตต่างๆเป็นการเปิดประตูมิติ เข้าไปรับรู้เรื่องทางโลกและ 31 ภพภูมิ  ซึ่งเป็นเรื่องของจิต(สังขาร)ต่างๆ  ที่ยังไม่บริสุทธิ์

- การเปิดประตูมิติ หรือเปิดภวังค์และนิมิตต่างๆ เป็นเรื่องของ สมถะกรรมฐาน หรือ เรื่องของสมาธิล้วนๆ  ซึ่งจะทำให้ได้กุญแจไขความลับทางโลก  หรือได้ "ปัญญาทางโลก"

- ส่วนการเปิดประตูนิพพานเป็นเรื่องของ วิปัสสนากรรมฐาน(การเจริญสติปัฏฐาน 4) ซึ่งจะทำให้ได้กุญแจไขความลับทางธรรม หรือได้ "ปัญญาทางธรรม" ในการดับทุกข์ถาวร

สรุป

ผลลัพธ์สูงสุดของสติปัฏฐาน 4 เป็นเรื่องของสัจธรรมที่นำไปสู่การดับทุกข์ทั้งมวล  คือ ทำให้เห็นสภาวะเดิมแห่งจิตของตนว่า  ตนเองเป็นพระอรหันต์(พระเจ้า)อยู่แล้ว  จิตเป็นปภัสสรอยู่แล้ว

ผลลัพธ์สูงสุดของสติปัฏฐาน 4 = ได้จิตที่ว่างเปล่าจากกิเลสตัณหาและอวิชชา  ซึ่งเป็นการเปิดและเข้าประตูนิพพาน บ้านเดิมของตนเอง นั่นเอง

3.  มนุษย์ สัตว์ เทพ พรหม เปรต ยักษ์ อสูร ฯลฯ ล้วนกำลังอยู่ในโลกของความฝัน ที่ผลกรรมของเราส่งผลมา

พวกเราเหล่ามนุษย์ และสรรพจิตไม่บริสุทธิ์(จิตสังขาร)ใน 3 ภพ 31 ภพภูมิ  ล้วนเป็นความฝันเฟื่องเสมือนจริงเท่านั้น  เพราะพวกเราเหล่าอรหันต์อนุญาตให้กิเลสตัณหาและอวิชชาเข้ามาลวงจิตปภัสสรเราได้  เพื่อว่าพวกเราจะได้ลงมาทดลองการใช้ชีวิต ที่ไม่อมตะในภพภูมิอื่นๆดูว่า  ดีเลวกว่าชีวิตอมตะที่เกิดจากจิตว่างของเราเพียงใด

เราต้องอยู่ในสภาวะจิตว่างเป็นพระเจ้าชั่วนิรันดรอยู่แล้ว  เราจึงลองมาใช้ชีวิตไม่อมตะ เป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นเปรต ฯลฯ ดูบ้าง  มันก็เท่านั้น  

การจะรู้ความจริงในเรื่องของ 3 ภพ หรือ 31 ภพภูมิ  ต้องอาศัยสมถะกรรมฐาน(สมาธิ)ชั้นสูงขั้นฌาน 4 หรือสูงกว่าขึ้นไป  จึงจะเปิดประตูมิติในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้  การเปิดภวังค์และนิมิตต่างๆจากฌานชั้นสูง  เป็นการเปิดประตูมิติเพื่อจะได้รับรู้เรื่องราวของทุกภพทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

 อนึ่ง  จิตมนุษย์ เทพ พรหม เปรต ฯลฯ ล้วนเป็นจิตอันยังไม่บริสุทธิ์  จิตไม่บริสุทธิ์เหล่านั้น  มันเป็นแค่จิตเปลือกนอกที่ห่อหุ้มจิตบริสุทธิ์ หรือ "จิตปภัสสร หรือ จิตอรหันต์" ที่เป็นแก่นแท้ของจิตของเราเอาไว้เท่านั้น  

มนุษย์เองนำกิเลสตัณหาอวิชชา และความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ เข้ามาปิดบัง จิตเดิมแท้ ที่มหาบริสุทธิ์ของตนเองเอาไว้  ทำให้พวกเขามองไม่เห็นจิตปภัสสร หรือ จิตอรหันต์ ที่เป็นจิตเดิมแท้ของตัวเอง

0 comments:

แสดงความคิดเห็น