A A

22 มีนาคม 2558

ในโลกนี้ไม่เคยมีใครตายจริงเลยแม้แต่สักรายเดียว และ จิตกับกาย เป็นสิ่งเดียวกัน

1... ความจริงทางวิทยาศาสตร์ว่า จิตกับกาย(หรือวัตถุ) เป็นสิ่งเดียวกัน

ไอน์สไตน์กล่าวว่า 
"สสารย่อมมีการสูญสลาย นอกจากพลังงานเท่านั้นที่จะไม่สูญหาย เพราะพลังงานเกิดขึ้นจากสสารที่หายไป"

ความจริงแล้ว  สสารและพลังงานต่างๆเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นใหม่  และสูญสลายไปก็ไม่ได้  มันทำได้แค่แปลงสภาพตัวเองกลับไปกลับมาระหว่างสสารและพลังงาน  ซึ่งไม่ได้มีเพียงสสารและพลังงานรูปแบบเดียวที่ตามนุษย์มองเห็นได้และสัมผัสได้เท่านั้น  สิ่งที่ไอน์สไตน์พูดว่า "สสารย่อมมีการสูญสลาย แต่พลังงานเท่านั้นที่จะไม่สูญหาย"  นั่นเป็นเพราะไอน์สไตน์เห็นและสัมผัสได้แค่สสารและพลังงานในมิตินี้เท่านั้น  ไอน์สไตน์ไม่สามารถรับรู้และไม่สามารถสัมผัสสสารและพลังงานในมิติอื่น  

- คุณเจน ญาณทิพย์  และคุณ ริว จิตสัมผัส  ยังรับรู้และสัมผัสสสารและพลังงานในมิติอื่นได้มากกว่าไอน์สไตน์เลย

ความจริงมิติต่างๆของสสารและพลังงาน  นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ชั้นนำของโลก เช่น สตีเฟน ฮอว์กิ้ง (Stephen Hawking) และ จอห์น ชวาชซ์ (John Schwarz)  สุดยอดแห่งทฤษฎีเส้นเชือก ได้พบทางทฤษฎีแล้วว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากที่เดียวกัน  คือมาจากจักรวาลซึ่งมี 11 มิติ 

อย่างไรก็ตาม เพราะว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นใช้แค่สมองคิดเท่านั้น  เขาจึงพบได้เพียงแค่นั้น  แต่ผมไม่ได้ใช้สมองคิด  ใช้จิตที่นิ่งที่สุด ละเอียดที่สุด และใช้บุญบารมีข้ามภพข้ามชาติช่วยคิดด้วย  ผมจึงสามารถรับรู้และสัมผัสสสารและพลังงานในมิติอื่นได้มากกว่า
...น้องๆพระพุทธเจ้าเลยล่ะ...  ผมจึงรู้ว่าจักรวาลมี 12 มิติ  

นอกจากนี้ ผมยังสามารถถอดจิตไปคุยกับเหล่าเทพเจ้า(พระเจ้า)ได้ด้วย  พวกท่านก็ยืนยันเช่นเดียวกัน  และพวกท่านยังให้ข้อมูลผมเพิ่มด้วยว่า  ในจักรวาลเฉพาะมิติของเรา  ก็มีโลกมนุษย์ 6-9 โลกมนุษย์  แล้วในโลกมนุษย์ใบนี้เองก็มีตัวของคุณอยู่ในประเทศอื่นบางประเทศด้วย คือ มีนิสัยสันดานเดียวกับตัวคุณในประเทศไทย  เพียงแต่มีกายมนุษย์ที่มีผิวพรรณภาษาวัฒนธรรม และศาสนาที่ต่างออกไปเท่านั้น  

- ตัวของผมในอีก 100 กว่าโลกใน 12 มิติ  ก็มีกายมนุษย์ที่มีผิวพรรณภาษาวัฒนธรรม และศาสนาที่ต่างออกไปจากในโลกมนุษย์มิตินี้เช่นกัน

2... ความจริงทางพุทธศาสนาว่า จิตกับกาย เป็น สิ่งเดียวกัน

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า  ความจริงทางวิทยาศาสตร์สรุปว่า สสารกับพลังงาน เป็นสิ่งเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนสภาพกลับไปกลับมาระหว่างมิติที่ต่างกันไปเท่านั้น  

ในทางพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่า จิตกับกาย (หรือวัตถุ) เป็น สิ่งเดียวกัน  พระพุทธเจ้าจึงเรียก ร่างกายว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง    

หลักฐาน 

มหาวรรคที่ ๗  ๑. อัสสุตวตาสูตรที่ ๑

"...ในกายนั้น ตถาคตเรียกสิ่งนี้ว่า  จิตบ้าง  มโนบ้าง  วิญญาณบ้าง" 

อัสสุตวตาสูตรที่ ๑
[๒๓๐] 

"...ในร่างกายนั้น แต่ตถาคต เรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโน บ้าง วิญญาณบ้าง"

ในทางพุทธศาสนา...อะไรล่ะที่ทำให้สสาร กับ พลังงาน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน เปลี่ยนสภาพกลับไปกลับมาระหว่างมิติที่ต่างกันไป

ตอบว่า  "บุญกรรม หรือ บาปกรรม" หรือ "กฎแห่งกรรม"  เป็นตัวเปลี่ยนสภาพสสาร กับ พลังงาน ที่เป็นมนุษย์

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์บางพวกในโลกนี้ เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต และนรก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะเหตุ คือ ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ ไม่ประพฤติธรรม ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สัตว์บางพวกในโลกนี้  เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ เพราะเหตุประพฤติเรียบร้อย คือ ประพฤติธรรม"

อย่างไรก็ตาม  พระผู้มีพระภาคอธิบายเพิ่มว่า  [๖๑๕].... สาวกเป็นผู้เลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อม พิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาตโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์มากมายนั้น ไม่ดีไม่งาม 
เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้  เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้  เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้ ฯ

ศีล 5 ข้ออื่นก็เช่นกัน  หลักในการแก้กรรมคือ...ไม่ไปยึดติดกับเรื่องกรรมชั่วที่เรากระทำไปแล้ว เราต้องทำการสำนึกบาป และตั้งใจจะไม่ทำบาปเช่นนั้นอีก  ซึ่งจะทำให้จิตใจเราไม่เศร้าหมองอีก  เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า

"เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่สละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้ ฉะนั้น" 

เราต้องละวาจาอกุศลนั้น เราต้องละความคิดอกุศลนั้น เราต้องละความเห็นอกุศลนั้น  ซึ่งจะทำให้จิตเราเศร้าหมอง อันจะทำให้เราไปอบายภูมิ อาจจะต้องตกนรก  เหมือนพระนางมัลลิกาเทวี  ทำแต่ความดีมาตลอด  แต่จิตเศร้าหมองก่อนตาย นึกถึงบาปกรรมที่ตนเองไม่ได้สำนึกบาป ไม่ได้ทำการก้าวล่วงบาปกรรม  พระนางมัลลิกายังต้องตกนรก(เทียบเวลาในโลกนี้ก็ ๗ วัน) เพราะอาศัยที่จิตกลุ้มหรือเศร้าหมองนั่นเอง

ก่อนจะออกนอกเรื่อง  ขอพูดให้ชัดว่า  "บุญกรรม หรือ บาปกรรม" หรือ "กฎแห่งกรรม" นั้นเป็นตัวเปลี่ยนสภาพสสารและพลังงาน ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งเรียกว่า นามรูป  หรือ ขันธ์ ๕

นาม  =  ทำหน้าที่เป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  
รูป  = ทำ หน้าที่เป็น กาย เรียกว่า มหาภูตรูป 4  หรือ ธาตุทั้ง ๔ อันมี  ธาตุดิน, ธาตุน้ำ, ธาตุลม และธาตุไฟ 

"บุญกรรม หรือ บาปกรรม" หรือ "กฎแห่งกรรม" จะทำให้สสาร กับ พลังงาน ที่เป็นมนุษย์  เปลี่ยนสภาพเป็นสสารและพลังงานรูปแบบอื่น หรือ ให้เป็นกายอื่น(จิตอื่น)เมื่อเราตาย  กายอื่น(จิตอื่น)พระพุทธเจ้าเรียกว่า "นามกาย และธรรมกาย"

หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ แยกอย่างชัดเจนว่า  กายอื่น(จิตอื่น) นั้นมีถึง 18 กาย

     1. กายมนุษย์ หรือกายหยาบ
     2. กายมนุษย์ละเอียด
     3. กายทิพย์
     4. กายทิพย์ละเอียด
     5. กายพรหม
     6. กายพรหมละเอียด
     7. กายอรูปพรหม
     8. กายอรูปพรหมละเอียด
     9. กายธรรม
    10. กายธรรมละเอียด
    11. กายโสดา
    12. กายโสดาละเอียด
    13. กายสกิทาคา
    14. กายสกิทาคาละเอียด
    15. กายอนาคามี
    16. กายอนาคามีละเอียด
    17. กายอรหันต์               
    18. กายอรหันต์ละเอียด

สรุป

1. จิตกับกาย  เป็น สิ่งเดียวกัน  พระพุทธเจ้าแยกกายออกจากจิตเมื่อตอนที่แยกหน้าที่กันทำงานเท่านั้น  กายและจิตตอนที่เป็นมนุษย์ก็แยกหน้าที่เป็นนาม(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)  และแยกหน้าที่เป็นรูป(กาย ที่เรียกว่า มหาภูตรูป 4 - ธาตุดิน, ธาตุนํ้า, ธาตุลม และธาตุไฟ)   แต่จริงๆถ้าไม่แยกหน้าที่  ก็เรียกว่า จิต(สังขาร) หรือขันธ์ 5

พอนามรูปของมนุษย์แตกสลายไป  สสารและพลังงานนั้นก็นำบุญบาปติดตัวไปสร้างกายหรือจิตใหม่  เรียกว่า นามกาย หรืออทิสมานกาย  ซึ่งมี 18 กาย  กายที่มีบุญสูงสุด คือ กายอรหันต์ที่ว่างเปล่าจากกิเลสตัณหา

2. ในโลกนี้ไม่เคยมีใครตายจริงๆเลยแม้แต่สักรายเดียว  ตายกันเล่นๆทั้งนั้น  เพราะความเข้าใจผิด หรือเข้าใจไม่ถูกต้องเท่านั้น

0 comments:

แสดงความคิดเห็น