ก่อนจะเริ่มเรื่องโลกและจักรวาล
เป็นแค่โลก/จักรวาลแห่งความฝันเสมือนจริง(แต่ไม่จริง) + สสารมืด
พลังงานมืด แรงดึงดูดของสสาร จริงๆมันคืออะไรกันแน่? ผมจะขอสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้า
ที่ผมจะนำมาอธิบายเรื่องของจักรวาลก่อนสักนิด
a. ถ้าไม่รู้ว่าโลก/จักรวาลเป็นความฝันเฟื่องเสมือนจริง ย่อมคิดว่าโลกและจักรวาลมีจริง
พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านเป็นพุทธะ และพระอรหันต์สาวกของท่านเป็นอนุพุทธะ = พวกที่ตื่นขึ้นมาแล้วจากความฝันที่กิเลสตัณหาและกฎแห่งกรรมพาไป
ความจริง พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ ตอนที่เป็นมนุษย์ก็ฝันเฟื่องไปเหมือนมนุษย์ทั่วไปเช่นเดียวกันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของจริง พอพวกท่านบรรลุธรรมแล้ว จึงรู้ว่า ประสบการณ์ทุกอย่างในโลก รวมทั้งตัวของโลกและจักรวาลด้วย ทุกอย่างมันล้วนไม่มีจริง โลก/จักรวาลเป็นแค่ภาพมายาและความฝันเฟื่องเสมือนจริง(แต่ไม่จริง)เท่านั้น
- ผู้ที่ไม่ฝึกสมาธิ ไม่เจริญสมถะ และวิปัสสนาให้ถึงระดับ ย่อมคิดว่าสิ่งทั้งหลายในโลกและภายนอกโลกมีจริงทั้งนั้น และไปใส่ร้ายพวกที่จิตของเขาเห็นความจริงในระดับที่สูงกว่าตนเองว่า "จิตหลอน" บ้าง "วิปัสสนูกิเลส" บ้าง
b. หลักของวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า : สสารและพลังงานในจักรวาลย่อมไม่เกิดขึ้นใหม่หรือสูญหายไปก็ไม่ได้ เพียงแต่สสารและพลังงานสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างกันได้ นี่คือกฎแห่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง เพราะ
- อวิชชา(ความไม่รู้ว่า การดับทุกข์ทั้งปวงคือ การดับกิเลสตัณหา แล้วกลับเข้าไปเป็นพระอรหันต์ หรือพระเจ้า(ใหม่)อีกครั้งหนึ่ง
- อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คือ อวิชชา เป็นตัวทำให้เกิดความนึกคิด หรือการคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา
- สังขาร(ความนึกคิดไม่บริสุทธิ์) ก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ(ธาตุ)ที่ไม่บริสุทธิ์
- วิญญาณ (วิญญาณ(ธาตุ)ที่ไม่บริสุทธิ์)เป็นปัจจัย นามรูป (คือ กายและจิตของมนุษย์และสัตว์โลก)
- เรียงสำดับไปเรื่อยๆ จนถึงอุปาทาน และภพชาติ
ที่สำคัญ อุปาทาน และภพชาติ ทำให้มนุษย์หลงเข้าใจผิดไปกันใหญ่ว่า โลก/จักรวาลมีจริง ทั้งๆที่มันไม่มีจริง พวกมนุษย์และสรรพชีวิตใน 31 ภพภูมิ ล้วนไม่รู้ตัวว่า ตนเองกำลังฝันเฟื่องเสมือนจริงอยู่ เลยหลงทางพูดถึง สสารมืด พลังงานมืด แรงดึงดูดของสสาร ซึ่งเป็นแรงทั้งหมดที่หล่อเลี้ยงโลก/จักรวาล ในแบบที่วิชาวิทยาศาสตร์บอกตน
ใช่....ผมกำลังพูดว่าวิชาวิทยาศาสตร์ทำให้เราหลงทาง ความคิดเห็นผิดๆของกลุ่มคนที่เชื่อว่าตนเองฉลาดนักฉลาดหนา เป็นเหตุทำให้ประชาชนทั้งโลกพลอยหลงทางไปด้วย ตามความรู้ทางวิทยาศาสตร์ขั้นปฐมของนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น ซึ่งพยายามมองหาจักรวาลภายนอกจิตตัวเอง แต่ไม่ค้นหาจักรวาลว่า จริงๆแล้ว ความรู้ทางจักรวาลที่ตนเองค้นหานั้น มันอยู่ภายในจิตของตนเองด้วย
c. แรงสำคัญในทางพุทธศาสนามี 2 แรง คือ แรงดูดเข้า และแรงผลักออก
เพื่อจะให้ง่ายขึ้น ลองคิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า เริ่มต้นพวกเราทุกจิต ล้วนเป็นจิตประภัสสร ไม่มีกิเลส ตัณหา แรกเริ่มเดิมที พวกเราจึงไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้แต่พวกเราอยู่ในเมืองนิพพาน
เราตกภูมิลงมาเรื่อยๆจากเมืองนิพพาน ลงมาเกิดเป็นพรหมใน 20 ภูมิ ต่อมาก็ลงมาเกิดในสวรรค์ แล้วไหลมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็ถลำไปเกิดในอบายภูมิ-นรกภูมิ แสดงว่าตัวที่ผลักเราลงมาเรื่อยๆ คือ ความคิดนึก หรือความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหานั่นเอง ด้วยเหตุนี้พลังงานมืด ที่เอาชนะแรงโน้มถ่วงของสสารปกติและแรงดึงดูดของสสารมืด และทำให้จักรวาลที่ควรจะขยายตัวในอัตราหน่วง หรือขยายตัวช้าลงเรื่อยๆ กลับกลายเป็นว่า จักรวาลกำลังขยายตัวในอัตราเร่ง (Accelerating expansion).... จักรวาลไม่ได้ขยายตัวช้าลงอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกัน ก็เพราะพลังงานมืดที่ผลักออกตัวนี้เป็นเหตุ
พลังงานมืดตัวนี้ คือ ความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหานั่นเอง
พลังงานมืด เป็นแรงผลักออกของจิตสังขาร((จิตคิดปรุงแต่ง) ให้ถอยห่างออกไปจากจิตว่าง(ประภัสสร)ของตนอง หรือจะพูดว่า พลังงานมืด คือ ความคิดนึกปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา แล้วหลงทางไปคิดว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาลมีจริง เมื่อจิตไม่ว่างจากกิเลสตัณหา ย่อมคิดไม่ออกว่า พลังงานมืดที่ตนเองรับรู้นั้น แท้จริงเป็นกิเลสตัณหาที่มาหลอกจิตของเราให้ยึดถือเท่านั้น
- พลังงานมืดที่มีผลผลักดันจักรวาลให้ห่างกันไปเรื่อยๆ ที่สำคัญที่สุด คือ ความชั่ว หรือความคิดอกุศล
ย้ำ! ความคิดนึกหรือความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา ทำให้จิตว่างของเรากลายเป็นจิตไม่ว่างไป ความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา แล้วทำบาปอกุศล อันนี้มีผลมากที่สุดทำให้จิตของเรา หนีห่างออกจากความเป็นจิตว่าง
สสารมืด ล่ะ มันจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ มันก็เป็น การที่จิตลดความคิดนึกหรือคิดปรุงแต่งจากกิเลสตัณหาลง = บุญ แรงดึงดูดตัวนี้ ซึ่ง = พลังจากพรหมโลก และพลังจากเมืองนิพพาน อาจจะรวมถึงพลังดึงดูดจากสวรรค์ในกามภูมิ 6 ชั้นด้วย (แต่ผมขี้เกียจคิดตอนนี้) นอกจากนี้ พลังดึงดูดจากนิพพานแท้จริงหรือปรินิพพาน ก็มีผลทำให้จิตลดการคิดปรุงแต่งลง กลับเข้าไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ คือ เป็นเทวดา พอสูงขึ้นไปก็เป็นพรหม แล้วก็กลับเข้าเมืองนิพพาน และเข้าสู่นิพพานแท้จริงหรือปรินิพพาน - ซึ่งแสดงออกทางกายภาพเป็นหลุมดำ เพราะหลุมดำนั้นตรงกับคำนิยามของนิพพานแท้มากที่สุด คือ ไม่มีกาลเวลา ไม่สิ่งใดหลุดออกไปจากมันได้ ก็ในเมื่อสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นผลพวงจากความคิดนึก นิพพานแท้พ้นจากการคิดนึก หรือการคิดปรุงแต่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศล และอกุศล ไม่เอาแล้วทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้ ปรินิพพาน(นิพพานแท้) จึง = หลุมดำ
ส่วนแรงโน้มถ่วงของสสารปกติ ผมเชื่อว่า เป็นแรงสูสีกันระหว่างความชั่วกับความดี คนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้ ในตอนที่ลงมาเกิดจะต้องมีความดีมากกว่าความชั่ว
อนึ่ง ในมนุษยภูมิ เป็นที่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจสูงในเชิงกล้าหาญที่จะประกอบกรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม ถ้าภูมิจิตต่ำกว่ามนุษยภูมิ ก็ไปเกิดในภูมิจิตในระดับสัตว์ดิรัจฉาน ซึ่งก็อาศัยอยู่ในโลกนี้เช่นกัน
- การเกิดเป็นมนุษย์นี้ยากแสนยากลำบากเหลือเกิน สัตว์ชนิดอื่นเป็นสัตว์ธรรมดา มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ตอนเกิดมาเรียกว่า สัตว์ที่ประเสริฐ
อนึ่ง ผมคิดว่า พวกที่เกิดเป็นเปรต เป็นอสูรกาย หรือไปเกิดในโลกบาดาล ไปเกิดเป็นพระภูมิเจ้าที่ เป็นรุกขเทวดา เป็นพญาครุฑ แม้แต่เป็น คนธรรพ์ และพวกที่อยู่ในเมืองลับแล ป่าหิมพานต์ และพวกที่เป็นวิญญาณบรรพชน พวกนี้น่าจะเป็นพวกที่ทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงของสสารด้วย เพราะยังมีกายอยู่ แม้ว่าชั่งน้ำหนักแล้วจะตัวเบาบางมากก็ตาม (ขนาดหมาและแมวยังเห็นพวกนี้ได้) ส่วนพวกที่เป็นเทวดา พวกนั้นเป็นกายทิพย์ ผมยังไม่อยากถือว่า พวกกายทิพย์เป็นแรงโน้มถ่วงของสสารในตอนนี้นะครับอีกอย่าง...ผมก็ไม่อยากเจาะลึกมากเกินไปในบทความนี้
สรุป
ความคิดนึกอันมาจากกิเลสตัณหา ที่เรียกว่า "การคิดปรุงแต่ง" นั่นแหละเป็นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ การดับทุกข์คือ ดับความคิดนึกอันมาจากกิเลสตัณหา
- ความคิดนึกอันมาจากกิเลสตัณหา ขั้นทำบาปอกุศล เป็นแรงผลักออกหรือ พลังงานมืด
- ความคิดนึกที่มีกิเลสตัณหาน้อย ขั้นทำบุญกุศล กลับสร้างแรงดึงดูดที่เรียกว่า สสารมืด
- ความนึกคิดก่ำกึ่งกัน บุญไม่ชนะเด็ดขาด บาปก็ไม่ชนะเด็ดขาด ถือว่ายังพอสูสีกันบ้าง สร้างแรงดึงดูดที่เรียกว่า แรงโน้มถ่วงของสาร
พลังงานและแรงต่างๆในจักรวาลทั้ง 3 ชนิดนี้ ที่เป็นตัวกำหนดชะตากรรมของจักรวาล
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ประมาณว่า จักรวาลประกอบด้วยสสารปกติ 4% สสารมืด (Dark Matter) 21% และอีก 75% เป็นพลังงานมืด แสดงว่า พลังงานมืดที่ทำหน้าที่ผลักออก สามารถเอาชนะ แรงโน้มถ่วงของสสารปกติและแรงดึงดูดของสสารมืดใน "สงครามแรงดึงดูดในจักรวาล" ได้ เป็นผลให้จักรวาลขยายตัวในอัตราเร่งมาตราบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
a. ถ้าไม่รู้ว่าโลก/จักรวาลเป็นความฝันเฟื่องเสมือนจริง ย่อมคิดว่าโลกและจักรวาลมีจริง
พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านเป็นพุทธะ และพระอรหันต์สาวกของท่านเป็นอนุพุทธะ = พวกที่ตื่นขึ้นมาแล้วจากความฝันที่กิเลสตัณหาและกฎแห่งกรรมพาไป
ความจริง พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ ตอนที่เป็นมนุษย์ก็ฝันเฟื่องไปเหมือนมนุษย์ทั่วไปเช่นเดียวกันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของจริง พอพวกท่านบรรลุธรรมแล้ว จึงรู้ว่า ประสบการณ์ทุกอย่างในโลก รวมทั้งตัวของโลกและจักรวาลด้วย ทุกอย่างมันล้วนไม่มีจริง โลก/จักรวาลเป็นแค่ภาพมายาและความฝันเฟื่องเสมือนจริง(แต่ไม่จริง)เท่านั้น
- ผู้ที่ไม่ฝึกสมาธิ ไม่เจริญสมถะ และวิปัสสนาให้ถึงระดับ ย่อมคิดว่าสิ่งทั้งหลายในโลกและภายนอกโลกมีจริงทั้งนั้น และไปใส่ร้ายพวกที่จิตของเขาเห็นความจริงในระดับที่สูงกว่าตนเองว่า "จิตหลอน" บ้าง "วิปัสสนูกิเลส" บ้าง
b. หลักของวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า : สสารและพลังงานในจักรวาลย่อมไม่เกิดขึ้นใหม่หรือสูญหายไปก็ไม่ได้ เพียงแต่สสารและพลังงานสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างกันได้ นี่คือกฎแห่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง เพราะ
- อวิชชา(ความไม่รู้ว่า การดับทุกข์ทั้งปวงคือ การดับกิเลสตัณหา แล้วกลับเข้าไปเป็นพระอรหันต์ หรือพระเจ้า(ใหม่)อีกครั้งหนึ่ง
- อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คือ อวิชชา เป็นตัวทำให้เกิดความนึกคิด หรือการคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา
- สังขาร(ความนึกคิดไม่บริสุทธิ์) ก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ(ธาตุ)ที่ไม่บริสุทธิ์
- วิญญาณ (วิญญาณ(ธาตุ)ที่ไม่บริสุทธิ์)เป็นปัจจัย นามรูป (คือ กายและจิตของมนุษย์และสัตว์โลก)
- เรียงสำดับไปเรื่อยๆ จนถึงอุปาทาน และภพชาติ
ที่สำคัญ อุปาทาน และภพชาติ ทำให้มนุษย์หลงเข้าใจผิดไปกันใหญ่ว่า โลก/จักรวาลมีจริง ทั้งๆที่มันไม่มีจริง พวกมนุษย์และสรรพชีวิตใน 31 ภพภูมิ ล้วนไม่รู้ตัวว่า ตนเองกำลังฝันเฟื่องเสมือนจริงอยู่ เลยหลงทางพูดถึง สสารมืด พลังงานมืด แรงดึงดูดของสสาร ซึ่งเป็นแรงทั้งหมดที่หล่อเลี้ยงโลก/จักรวาล ในแบบที่วิชาวิทยาศาสตร์บอกตน
ใช่....ผมกำลังพูดว่าวิชาวิทยาศาสตร์ทำให้เราหลงทาง ความคิดเห็นผิดๆของกลุ่มคนที่เชื่อว่าตนเองฉลาดนักฉลาดหนา เป็นเหตุทำให้ประชาชนทั้งโลกพลอยหลงทางไปด้วย ตามความรู้ทางวิทยาศาสตร์ขั้นปฐมของนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น ซึ่งพยายามมองหาจักรวาลภายนอกจิตตัวเอง แต่ไม่ค้นหาจักรวาลว่า จริงๆแล้ว ความรู้ทางจักรวาลที่ตนเองค้นหานั้น มันอยู่ภายในจิตของตนเองด้วย
c. แรงสำคัญในทางพุทธศาสนามี 2 แรง คือ แรงดูดเข้า และแรงผลักออก
เพื่อจะให้ง่ายขึ้น ลองคิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า เริ่มต้นพวกเราทุกจิต ล้วนเป็นจิตประภัสสร ไม่มีกิเลส ตัณหา แรกเริ่มเดิมที พวกเราจึงไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้แต่พวกเราอยู่ในเมืองนิพพาน
เราตกภูมิลงมาเรื่อยๆจากเมืองนิพพาน ลงมาเกิดเป็นพรหมใน 20 ภูมิ ต่อมาก็ลงมาเกิดในสวรรค์ แล้วไหลมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็ถลำไปเกิดในอบายภูมิ-นรกภูมิ แสดงว่าตัวที่ผลักเราลงมาเรื่อยๆ คือ ความคิดนึก หรือความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหานั่นเอง ด้วยเหตุนี้พลังงานมืด ที่เอาชนะแรงโน้มถ่วงของสสารปกติและแรงดึงดูดของสสารมืด และทำให้จักรวาลที่ควรจะขยายตัวในอัตราหน่วง หรือขยายตัวช้าลงเรื่อยๆ กลับกลายเป็นว่า จักรวาลกำลังขยายตัวในอัตราเร่ง (Accelerating expansion).... จักรวาลไม่ได้ขยายตัวช้าลงอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกัน ก็เพราะพลังงานมืดที่ผลักออกตัวนี้เป็นเหตุ
พลังงานมืดตัวนี้ คือ ความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหานั่นเอง
พลังงานมืด เป็นแรงผลักออกของจิตสังขาร((จิตคิดปรุงแต่ง) ให้ถอยห่างออกไปจากจิตว่าง(ประภัสสร)ของตนอง หรือจะพูดว่า พลังงานมืด คือ ความคิดนึกปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา แล้วหลงทางไปคิดว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาลมีจริง เมื่อจิตไม่ว่างจากกิเลสตัณหา ย่อมคิดไม่ออกว่า พลังงานมืดที่ตนเองรับรู้นั้น แท้จริงเป็นกิเลสตัณหาที่มาหลอกจิตของเราให้ยึดถือเท่านั้น
- พลังงานมืดที่มีผลผลักดันจักรวาลให้ห่างกันไปเรื่อยๆ ที่สำคัญที่สุด คือ ความชั่ว หรือความคิดอกุศล
ย้ำ! ความคิดนึกหรือความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา ทำให้จิตว่างของเรากลายเป็นจิตไม่ว่างไป ความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา แล้วทำบาปอกุศล อันนี้มีผลมากที่สุดทำให้จิตของเรา หนีห่างออกจากความเป็นจิตว่าง
สสารมืด ล่ะ มันจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ มันก็เป็น การที่จิตลดความคิดนึกหรือคิดปรุงแต่งจากกิเลสตัณหาลง = บุญ แรงดึงดูดตัวนี้ ซึ่ง = พลังจากพรหมโลก และพลังจากเมืองนิพพาน อาจจะรวมถึงพลังดึงดูดจากสวรรค์ในกามภูมิ 6 ชั้นด้วย (แต่ผมขี้เกียจคิดตอนนี้) นอกจากนี้ พลังดึงดูดจากนิพพานแท้จริงหรือปรินิพพาน ก็มีผลทำให้จิตลดการคิดปรุงแต่งลง กลับเข้าไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ คือ เป็นเทวดา พอสูงขึ้นไปก็เป็นพรหม แล้วก็กลับเข้าเมืองนิพพาน และเข้าสู่นิพพานแท้จริงหรือปรินิพพาน - ซึ่งแสดงออกทางกายภาพเป็นหลุมดำ เพราะหลุมดำนั้นตรงกับคำนิยามของนิพพานแท้มากที่สุด คือ ไม่มีกาลเวลา ไม่สิ่งใดหลุดออกไปจากมันได้ ก็ในเมื่อสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นผลพวงจากความคิดนึก นิพพานแท้พ้นจากการคิดนึก หรือการคิดปรุงแต่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศล และอกุศล ไม่เอาแล้วทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้ ปรินิพพาน(นิพพานแท้) จึง = หลุมดำ
ส่วนแรงโน้มถ่วงของสสารปกติ ผมเชื่อว่า เป็นแรงสูสีกันระหว่างความชั่วกับความดี คนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้ ในตอนที่ลงมาเกิดจะต้องมีความดีมากกว่าความชั่ว
อนึ่ง ในมนุษยภูมิ เป็นที่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจสูงในเชิงกล้าหาญที่จะประกอบกรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม ถ้าภูมิจิตต่ำกว่ามนุษยภูมิ ก็ไปเกิดในภูมิจิตในระดับสัตว์ดิรัจฉาน ซึ่งก็อาศัยอยู่ในโลกนี้เช่นกัน
- การเกิดเป็นมนุษย์นี้ยากแสนยากลำบากเหลือเกิน สัตว์ชนิดอื่นเป็นสัตว์ธรรมดา มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ตอนเกิดมาเรียกว่า สัตว์ที่ประเสริฐ
อนึ่ง ผมคิดว่า พวกที่เกิดเป็นเปรต เป็นอสูรกาย หรือไปเกิดในโลกบาดาล ไปเกิดเป็นพระภูมิเจ้าที่ เป็นรุกขเทวดา เป็นพญาครุฑ แม้แต่เป็น คนธรรพ์ และพวกที่อยู่ในเมืองลับแล ป่าหิมพานต์ และพวกที่เป็นวิญญาณบรรพชน พวกนี้น่าจะเป็นพวกที่ทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงของสสารด้วย เพราะยังมีกายอยู่ แม้ว่าชั่งน้ำหนักแล้วจะตัวเบาบางมากก็ตาม (ขนาดหมาและแมวยังเห็นพวกนี้ได้) ส่วนพวกที่เป็นเทวดา พวกนั้นเป็นกายทิพย์ ผมยังไม่อยากถือว่า พวกกายทิพย์เป็นแรงโน้มถ่วงของสสารในตอนนี้นะครับอีกอย่าง...ผมก็ไม่อยากเจาะลึกมากเกินไปในบทความนี้
สรุป
ความคิดนึกอันมาจากกิเลสตัณหา ที่เรียกว่า "การคิดปรุงแต่ง" นั่นแหละเป็นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ การดับทุกข์คือ ดับความคิดนึกอันมาจากกิเลสตัณหา
- ความคิดนึกอันมาจากกิเลสตัณหา ขั้นทำบาปอกุศล เป็นแรงผลักออกหรือ พลังงานมืด
- ความคิดนึกที่มีกิเลสตัณหาน้อย ขั้นทำบุญกุศล กลับสร้างแรงดึงดูดที่เรียกว่า สสารมืด
- ความนึกคิดก่ำกึ่งกัน บุญไม่ชนะเด็ดขาด บาปก็ไม่ชนะเด็ดขาด ถือว่ายังพอสูสีกันบ้าง สร้างแรงดึงดูดที่เรียกว่า แรงโน้มถ่วงของสาร
พลังงานและแรงต่างๆในจักรวาลทั้ง 3 ชนิดนี้ ที่เป็นตัวกำหนดชะตากรรมของจักรวาล
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ประมาณว่า จักรวาลประกอบด้วยสสารปกติ 4% สสารมืด (Dark Matter) 21% และอีก 75% เป็นพลังงานมืด แสดงว่า พลังงานมืดที่ทำหน้าที่ผลักออก สามารถเอาชนะ แรงโน้มถ่วงของสสารปกติและแรงดึงดูดของสสารมืดใน "สงครามแรงดึงดูดในจักรวาล" ได้ เป็นผลให้จักรวาลขยายตัวในอัตราเร่งมาตราบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
คิดเหมือนผมเลยครับ ผมก็เชื่อว่า สสารมืด และพลังงานมืด คือ ธาตุที่ 6 ธาตุจิต ที่พระพุทธเจ้าบอกมีเต็มโลกธาตุประมาณไม่ได้ ไม่ผิดไปจากการคนค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ที่ยังคงได้เพียงสันนิษฐานว่าจะต้องมีสสารที่มองไม่เห็นอยู่, แต่ผมยังเชื่อว่าเราจะไม่สามารถตรวจจับมันได้แน่นอน เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่าจิต หรือวิญญาณธาตุ มันไวมาก คงจะมีเพียงผู้ที่เข้าสู่นิพพาน ที่จะทันจิตได้ หรือพระอรหันต์เท่านั้น
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบในยุคปัจจุบันเท่าที่ศึกษาปริยัติบวกกับปฏิบัติมา
ตอบลบมีผู้รู้หลายท่านนะที่เก่งๆ
แต่ยังไม่เห็นใครแยกย่อย ละเอียดได้แตกฉาน
เท่ากับท่านพลศักดิ์เลย นี่ถ้าท่านยังอยู่ก็จะเป็นบุญของโลกมากทีเดียว
โมทนาสาธุ