A A

29 มีนาคม 2558

โลก/จักรวาลเป็นความฝันเสมือนจริง+สสารมืด พลังงานมืด แรงดึงดูดของสสาร คืออะไร?

ก่อนจะเริ่มเรื่องโลกและจักรวาล เป็นแค่โลก/จักรวาลแห่งความฝันเสมือนจริง(แต่ไม่จริง) + สสารมืด พลังงานมืด แรงดึงดูดของสสาร จริงๆมันคืออะไรกันแน่? ผมจะขอสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ผมจะนำมาอธิบายเรื่องของจักรวาลก่อนสักนิด

a. ถ้าไม่รู้ว่าโลก/จักรวาลเป็นความฝันเฟื่องเสมือนจริง   ย่อมคิดว่าโลกและจักรวาลมีจริง

พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านเป็นพุทธะ และพระอรหันต์สาวกของท่านเป็นอนุพุทธะ = พวกที่ตื่นขึ้นมาแล้วจากความฝันที่กิเลสตัณหาและกฎแห่งกรรมพาไป

ความจริง  พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ ตอนที่เป็นมนุษย์ก็ฝันเฟื่องไปเหมือนมนุษย์ทั่วไปเช่นเดียวกันว่า   ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของจริง  พอพวกท่านบรรลุธรรมแล้ว  จึงรู้ว่า ประสบการณ์ทุกอย่างในโลก รวมทั้งตัวของโลกและจักรวาลด้วย  ทุกอย่างมันล้วนไม่มีจริง โลก/จักรวาลเป็นแค่ภาพมายาและความฝันเฟื่องเสมือนจริง(แต่ไม่จริง)เท่านั้น

ผู้ที่ไม่ฝึกสมาธิ ไม่เจริญสมถะ และวิปัสสนาให้ถึงระดับ  ย่อมคิดว่าสิ่งทั้งหลายในโลกและภายนอกโลกมีจริงทั้งนั้น  และไปใส่ร้ายพวกที่จิตของเขาเห็นความจริงในระดับที่สูงกว่าตนเองว่า "จิตหลอน" บ้าง "วิปัสสนูกิเลส" บ้าง


b. หลักของวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า : สสารและพลังงานในจักรวาลย่อมไม่เกิดขึ้นใหม่หรือสูญหายไปก็ไม่ได้  เพียงแต่สสารและพลังงานสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างกันได้ นี่คือกฎแห่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง เพราะ

- อวิชชา(
ความไม่รู้ว่า การดับทุกข์ทั้งปวงคือ การดับกิเลสตัณหา แล้วกลับเข้าไปเป็นพระอรหันต์ หรือพระเจ้า(ใหม่)อีกครั้งหนึ่ง
- อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คือ อวิชชา เป็นตัวทำให้เกิดความนึกคิด หรือการคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา
- สังขาร(ความนึกคิดไม่บริสุทธิ์) ก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ(ธาตุ)ที่ไม่บริสุทธิ์
- วิญญาณ 
(วิญญาณ(ธาตุ)ที่ไม่บริสุทธิ์)เป็นปัจจัย นามรูป (คือ กายและจิตของมนุษย์และสัตว์โลก)
- เรียงสำดับไปเรื่อยๆ จนถึงอุปาทาน และภพชาติ

ที่สำคัญ อุปาทาน และภพชาติ ทำให้มนุษย์หลงเข้าใจผิดไปกันใหญ่ว่า โลก/จักรวาลมีจริง  ทั้งๆที่มันไม่มีจริง  พวกมนุษย์และสรรพชีวิตใน 31 ภพภูมิ ล้วนไม่รู้ตัวว่า ตนเองกำลังฝันเฟื่องเสมือนจริงอยู่  เลยหลงทางพูดถึง  สสารมืด พลังงานมืด แรงดึงดูดของสสาร ซึ่งเป็นแรงทั้งหมดที่หล่อเลี้ยงโลก/จักรวาล ในแบบที่วิชาวิทยาศาสตร์บอกตน

ใช่....ผมกำลังพูดว่าวิชาวิทยาศาสตร์ทำให้เราหลงทาง  ความคิดเห็นผิดๆของกลุ่มคนที่เชื่อว่าตนเองฉลาดนักฉลาดหนา  เป็นเหตุทำให้ประชาชนทั้งโลกพลอยหลงทางไปด้วย ตามความรู้ทางวิทยาศาสตร์ขั้นปฐมของนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น  ซึ่งพยายามมองหาจักรวาลภายนอกจิตตัวเอง  แต่ไม่ค้นหาจักรวาลว่า จริงๆแล้ว ความรู้ทางจักรวาลที่ตนเองค้นหานั้น มันอยู่ภายในจิตของตนเองด้วย

c. แรงสำคัญในทางพุทธศาสนามี 2 แรง คือ แรงดูดเข้า และแรงผลักออก

เพื่อจะให้ง่ายขึ้น  ลองคิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า  เริ่มต้นพวกเราทุกจิต ล้วนเป็นจิตประภัสสร  ไม่มีกิเลส ตัณหา แรกเริ่มเดิมที  พวกเราจึงไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้แต่พวกเราอยู่ในเมืองนิพพาน

เราตกภูมิลงมาเรื่อยๆจากเมืองนิพพาน  ลงมาเกิดเป็นพรหมใน 20 ภูมิ  ต่อมาก็ลงมาเกิดในสวรรค์ แล้วไหลมาเกิดเป็นมนุษย์  แล้วก็ถลำไปเกิดในอบายภูมิ-นรกภูมิ แสดงว่าตัวที่ผลักเราลงมาเรื่อยๆ คือ  ความคิดนึก หรือความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหานั่นเอง  ด้วยเหตุนี้พลังงานมืด ที่เอาชนะแรงโน้มถ่วงของสสารปกติและแรงดึงดูดของสสารมืด และทำให้จักรวาลที่ควรจะขยายตัวในอัตราหน่วง หรือขยายตัวช้าลงเรื่อยๆ  กลับกลายเป็นว่า จักรวาลกำลังขยายตัวในอัตราเร่ง (Accelerating expansion).... จักรวาลไม่ได้ขยายตัวช้าลงอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกัน ก็เพราะพลังงานมืดที่ผลักออกตัวนี้เป็นเหตุ

พลังงานมืดตัวนี้ คือ ความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหานั่นเอง

พลังงานมืด เป็นแรงผลักออกของจิตสังขาร((จิตคิดปรุงแต่ง) ให้ถอยห่างออกไปจากจิตว่าง(ประภัสสร)ของตนอง  หรือจะพูดว่า พลังงานมืด คือ  ความคิดนึกปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา  แล้วหลงทางไปคิดว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาลมีจริง  เมื่อจิตไม่ว่างจากกิเลสตัณหา ย่อมคิดไม่ออกว่า  พลังงานมืดที่ตนเองรับรู้นั้น  แท้จริงเป็นกิเลสตัณหาที่มาหลอกจิตของเราให้ยึดถือเท่านั้น

- พลังงานมืดที่มีผลผลักดันจักรวาลให้ห่างกันไปเรื่อยๆ ที่สำคัญที่สุด คือ ความชั่ว หรือความคิดอกุศล

ย้ำ! ความคิดนึกหรือความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา ทำให้จิตว่างของเรากลายเป็นจิตไม่ว่างไป ความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา  แล้วทำบาปอกุศล  อันนี้มีผลมากที่สุดทำให้จิตของเรา หนีห่างออกจากความเป็นจิตว่าง

สสารมืด ล่ะ  มันจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ มันก็เป็น การที่จิตลดความคิดนึกหรือคิดปรุงแต่งจากกิเลสตัณหาลง = บุญ  แรงดึงดูดตัวนี้  ซึ่ง = พลังจากพรหมโลก และพลังจากเมืองนิพพาน อาจจะรวมถึงพลังดึงดูดจากสวรรค์ในกามภูมิ 6 ชั้นด้วย (แต่ผมขี้เกียจคิดตอนนี้)  นอกจากนี้ พลังดึงดูดจากนิพพานแท้จริงหรือปรินิพพาน  ก็มีผลทำให้จิตลดการคิดปรุงแต่งลง  กลับเข้าไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ คือ เป็นเทวดา พอสูงขึ้นไปก็เป็นพรหม  แล้วก็กลับเข้าเมืองนิพพาน และเข้าสู่นิพพานแท้จริงหรือปรินิพพาน - ซึ่งแสดงออกทางกายภาพเป็นหลุมดำ  เพราะหลุมดำนั้นตรงกับคำนิยามของนิพพานแท้มากที่สุด คือ ไม่มีกาลเวลา  ไม่สิ่งใดหลุดออกไปจากมันได้ ก็ในเมื่อสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นผลพวงจากความคิดนึก  นิพพานแท้พ้นจากการคิดนึก หรือการคิดปรุงแต่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นกุศล และอกุศล ไม่เอาแล้วทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้ ปรินิพพาน(นิพพานแท้) จึง = หลุมดำ

ส่วน
แรงโน้มถ่วงของสสารปกติ ผมเชื่อว่า เป็นแรงสูสีกันระหว่างความชั่วกับความดี  คนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้  ในตอนที่ลงมาเกิดจะต้องมีความดีมากกว่าความชั่ว 

อนึ่ง ในมนุษยภูมิ เป็นที่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจสูงในเชิงกล้าหาญที่จะประกอบกรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม  ถ้าภูมิจิตต่ำกว่ามนุษยภูมิ  ก็ไปเกิดในภูมิจิตในระดับสัตว์ดิรัจฉาน ซึ่งก็อาศัยอยู่ในโลกนี้เช่นกัน

การเกิดเป็นมนุษย์นี้ยากแสนยากลำบากเหลือเกิน  สัตว์ชนิดอื่นเป็นสัตว์ธรรมดา  มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ตอนเกิดมาเรียกว่า  สัตว์ที่ประเสริฐ

อนึ่ง  ผมคิดว่า  พวกที่เกิดเป็นเปรต เป็นอสูรกาย  หรือไปเกิดในโลกบาดาล ไปเกิดเป็นพระภูมิเจ้าที่ เป็นรุกขเทวดา เป็นพญาครุฑ  แม้แต่เป็น คนธรรพ์  และพวกที่อยู่ในเมืองลับแล  ป่าหิมพานต์  และพวกที่เป็นวิญญาณบรรพชน  พวกนี้น่าจะเป็นพวกที่ทำให้เกิดแรงโน้มถ่วงของสสารด้วย  เพราะยังมีกายอยู่  แม้ว่าชั่งน้ำหนักแล้วจะตัวเบาบางมากก็ตาม  (ขนาดหมาและแมวยังเห็นพวกนี้ได้)  ส่วนพวกที่เป็นเทวดา  พวกนั้นเป็นกายทิพย์  ผมยังไม่อยากถือว่า พวกกายทิพย์เป็นแรงโน้มถ่วงของสสารในตอนนี้นะครับอีกอย่าง...ผมก็ไม่อยากเจาะลึกมากเกินไปในบทความนี้

สรุป

ความคิดนึกอันมาจากกิเลสตัณหา  ที่เรียกว่า "การคิดปรุงแต่ง"  นั่นแหละเป็นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ การดับทุกข์คือ ดับความคิดนึกอันมาจากกิเลสตัณหา 

- ความคิดนึกอันมาจากกิเลสตัณหา  ขั้นทำบาปอกุศล  เป็นแรงผลักออกหรือ พลังงานมืด
- ความคิดนึกที่มีกิเลสตัณหาน้อย  ขั้นทำบุญกุศล  กลับสร้างแรงดึงดูดที่เรียกว่า สสารมืด
- ความนึกคิดก่ำกึ่งกัน  บุญไม่ชนะเด็ดขาด  บาปก็ไม่ชนะเด็ดขาด  ถือว่ายังพอสูสีกันบ้าง  สร้างแรงดึงดูดที่เรียกว่า แรงโน้มถ่วงของสาร

พลังงานและแรงต่างๆในจักรวาลทั้ง 3 ชนิดนี้ ที่เป็นตัวกำหนดชะตากรรมของจักรวาล

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ประมาณว่า จักรวาลประกอบด้วยสสารปกติ 4% สสารมืด (Dark Matter) 21% และอีก 75% เป็นพลังงานมืด  แสดงว่า  พลังงานมืดที่ทำหน้าที่ผลักออก สามารถเอาชนะ แรงโน้มถ่วงของสสารปกติและแรงดึงดูดของสสารมืดใน "สงครามแรงดึงดูดในจักรวาล" ได้   เป็นผลให้จักรวาลขยายตัวในอัตราเร่งมาตราบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

3 ความคิดเห็น:

  1. คิดเหมือนผมเลยครับ ผมก็เชื่อว่า สสารมืด และพลังงานมืด คือ ธาตุที่ 6 ธาตุจิต ที่พระพุทธเจ้าบอกมีเต็มโลกธาตุประมาณไม่ได้ ไม่ผิดไปจากการคนค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ที่ยังคงได้เพียงสันนิษฐานว่าจะต้องมีสสารที่มองไม่เห็นอยู่, แต่ผมยังเชื่อว่าเราจะไม่สามารถตรวจจับมันได้แน่นอน เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่าจิต หรือวิญญาณธาตุ มันไวมาก คงจะมีเพียงผู้ที่เข้าสู่นิพพาน ที่จะทันจิตได้ หรือพระอรหันต์เท่านั้น

    ตอบลบ
  2. ในยุคปัจจุบันเท่าที่ศึกษาปริยัติบวกกับปฏิบัติมา
    มีผู้รู้หลายท่านนะที่เก่งๆ
    แต่ยังไม่เห็นใครแยกย่อย ละเอียดได้แตกฉาน
    เท่ากับท่านพลศักดิ์เลย นี่ถ้าท่านยังอยู่ก็จะเป็นบุญของโลกมากทีเดียว
    โมทนาสาธุ

    ตอบลบ