เรื่องนี้ก็คือ....จิตมนุษย์ที่เป็นคนธรรมดา
จิตเหล่านั้นจะเที่ยวไปก่อเวรก่อกรรม
และสร้างบุญสร้างกุศลกับจิตมนุษย์ท่านอื่นๆ ทำให้จิตมนุษย์ทั้งหมดต้องชดใช้เวร
ชดใช้กรรม และรับผลบุญกุศล ตามภพภูมิต่างๆในปรโลก
แล้วสุดท้ายก็ต้องมาเกิดเพื่อชดใช้บุญกรรมและบาปกรรมในโลกมนุษย์อีก....ตามกฎแห่งกรรม
เมื่อเรารู้อย่างนี้ว่า
- กฎแห่งกรรมทำให้เรารวยเราจน ทำให้ป่วยไข้ หรือมีสุขภาพดี แข็งแรง
- กฎแห่งกรรมทำให้เรามีครอบครัวที่ดี เพื่อนฝูงที่ดี ไม่ค่อยทะเลาะแว้งกัน หรือมีครอบครัวที่ไม่ดี มีเพื่อนฝูงที่ไม่ดี ชอบทะเลาะเบาะแว้งประจำ
- กฎแห่งกรรมให้เราได้ครอบครอง หรือไม่ได้ครอบครองปัจจัยต่างๆในโลก มากน้อยแล้วแต่บุญบาปที่เราเคยทำไว้
- ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราสมหวังหรือไม่สมหวังในสิ่งใด ก็ไม่ควรไปวิตกกังวลอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างมันเป็นบุญเป็นกรรมที่เราก่อไว้กับคนอื่น ส่งผลมาให้กับเราประสพเท่านั้นเอง เราควรปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกจิตแท้ดั่งเดิมของเรา ที่ว่างเปล่าและบริสุทธิ์เป็นจิตปภัสสร ปล่อยวางเรื่องราวเหล่านั้นออกไปให้หมด
แต่เรื่องการปล่อยวางเรื่องราวภายนอกทุกสิ่งทุกอย่าง ออกไปจากจิตเดิมแท้ปภัสสรของเราไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเจ้ากรรมนายเวรของเรานั้น แฝงตัวอยู่ในจิตมนุษย์ที่ไม่ปภัสสรของเราแล้วในตอนนี้ เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไม่ยอมเราง่ายๆหรอก จนกว่าพวกเขาจะได้รับการชำระหนี้บาปกรรมและหนี้บุญกรรมกับเราแล้วเท่านั้น เจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้ทำให้เราต้องคิดเป็นทุกข์ หรือต้องคิดเป็นสุขกับเรื่องราวภายนอกเหล่านั้นไปเรื่อยๆ...จนกว่าจะหมดกรรมกันไป
ทางแก้ไขง่ายที่สุดให้จิตไม่คิดมาก ไม่ฟุ้งซ่าน กลับมาสงบ คือ:
1. ทำบุญทำทาน แล้วทุกครั้งก็อุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร โดยระบุไปเลยว่า อุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้านไหน เช่น ด้านสุขภาพ ด้านเงิน ด้านงาน ด้านการเรียน ด้านคู่ครอง ฯลฯ ก็ระบุไปด้านเดียว
2. ทำสมาธิหรือสมถะกรรมฐาน แล้วทุกครั้งก็อุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้านไหนก็ระบุไป
3. ทำวิปัสสนา หรือสติปัฎฐาน 4 แบบใดแบบหนึ่ง แล้วทุกครั้งก็อุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้านใดด้านหนึ่ง หรือจะระบุอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เข้ามารบกวนจิตของเรา ทำให้จิตของเราต้องคิดมากฟุ้งซ่านและไม่สงบ
4. ทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อธิษฐานจะรักษาศีล 5 รักษาความซื่อสัตย์ รักษาความซื่อตรง ฯลฯ แล้วทุกครั้งก็อุทิศกุศลผลบุญจากการอธิษฐานนั้น ยกให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เข้ามารบกวนจิตของเรา ทำให้จิตของเราต้องคิดมากฟุ้งซ่านและไม่สงบ
5. สวดมนต์ ทำละหมาด หรือทำพิธีกรรมทางศาสนา ตามศาสนาที่เรานับถือ เสร็จแล้วก็ทำเหมือนเดิม คือ อุทิศกุศลผลบุญเหล่านั้นให้เจ้ากรรมนายเวรที่ตามรังควานเรา จะทำให้จิตของเราสงบขึ้น ว่างขึ้น ความทุกข์จะเจือจางลง
ถ้าเป็นศาสนาอื่น ก็อุทิศผลบุญเหล่านั้นให้พระเจ้า หรือส่งผลบุญให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ พวกท่านจะส่งผลบุญของเราไปให้เหล่าวิญญาณที่ตามรังควานเราเอง
สรุป
จิตดั้งเดิมของเรา เป็นจิตปภัสสร เป็นจิตว่างบริสุทธิ์สะอาด แต่เพราะจิตว่างบริสุทธิ์สะอาดของเรา เที่ยวไปก่อเวรก่อกรรมกับจิตอื่นๆข้ามภพข้ามชาติไปเรื่อยๆ ทำให้จิตของเรากลายเป็น จิตไม่ปภัสสรไป เป็นจิตไม่ว่าง ไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป เราจึงต้องใช้หนี้บุญกรรมและหนี้บาปกรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไปเรื่อยๆ เมื่อหนี้บุญกรรมและหนี้บาปกรรมค่อยๆลดและเบาบางลง ในที่สุด มันก็จะทำให้จิตของเรากลับเป็นจิตปภัสสรที่ว่าง สงบ บริสุทธิ์ และสะอาดอีกครั้งหนึ่ง
เนื่องจาก เราทุกจิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นเปรต เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นยักษ์ เป็นพรหม เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก ฯลฯ แท้จริงเริ่มแรก... เราล้วนเคยเป็นพระอรหันต์ เป็นพุทธะ เป็นพระเจ้า มาแล้วทั้งนั้น เราแค่ลงมาเล่นละครใน 3 ภพ เป้าหมายสุดท้ายของเรา ก็คือกลับไปเป็นพระอรหันต์ เป็นพุทธะ เป็นพระเจ้า ซึ่งเป็นจิตปภัสสรที่สงบ ว่าง บริสุทธิ์ และสะอาดเหมือนเดิมเริ่มแรก ก่อนจะมาเล่นละครค้นหาตัวเองใน 3 ภพ(31 ภพภูมิ)
เมื่อเรารู้อย่างนี้ว่า
- กฎแห่งกรรมทำให้เรารวยเราจน ทำให้ป่วยไข้ หรือมีสุขภาพดี แข็งแรง
- กฎแห่งกรรมทำให้เรามีครอบครัวที่ดี เพื่อนฝูงที่ดี ไม่ค่อยทะเลาะแว้งกัน หรือมีครอบครัวที่ไม่ดี มีเพื่อนฝูงที่ไม่ดี ชอบทะเลาะเบาะแว้งประจำ
- กฎแห่งกรรมให้เราได้ครอบครอง หรือไม่ได้ครอบครองปัจจัยต่างๆในโลก มากน้อยแล้วแต่บุญบาปที่เราเคยทำไว้
- ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราสมหวังหรือไม่สมหวังในสิ่งใด ก็ไม่ควรไปวิตกกังวลอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างมันเป็นบุญเป็นกรรมที่เราก่อไว้กับคนอื่น ส่งผลมาให้กับเราประสพเท่านั้นเอง เราควรปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกจิตแท้ดั่งเดิมของเรา ที่ว่างเปล่าและบริสุทธิ์เป็นจิตปภัสสร ปล่อยวางเรื่องราวเหล่านั้นออกไปให้หมด
แต่เรื่องการปล่อยวางเรื่องราวภายนอกทุกสิ่งทุกอย่าง ออกไปจากจิตเดิมแท้ปภัสสรของเราไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเจ้ากรรมนายเวรของเรานั้น แฝงตัวอยู่ในจิตมนุษย์ที่ไม่ปภัสสรของเราแล้วในตอนนี้ เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไม่ยอมเราง่ายๆหรอก จนกว่าพวกเขาจะได้รับการชำระหนี้บาปกรรมและหนี้บุญกรรมกับเราแล้วเท่านั้น เจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้ทำให้เราต้องคิดเป็นทุกข์ หรือต้องคิดเป็นสุขกับเรื่องราวภายนอกเหล่านั้นไปเรื่อยๆ...จนกว่าจะหมดกรรมกันไป
ทางแก้ไขง่ายที่สุดให้จิตไม่คิดมาก ไม่ฟุ้งซ่าน กลับมาสงบ คือ:
1. ทำบุญทำทาน แล้วทุกครั้งก็อุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร โดยระบุไปเลยว่า อุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้านไหน เช่น ด้านสุขภาพ ด้านเงิน ด้านงาน ด้านการเรียน ด้านคู่ครอง ฯลฯ ก็ระบุไปด้านเดียว
2. ทำสมาธิหรือสมถะกรรมฐาน แล้วทุกครั้งก็อุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้านไหนก็ระบุไป
3. ทำวิปัสสนา หรือสติปัฎฐาน 4 แบบใดแบบหนึ่ง แล้วทุกครั้งก็อุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้านใดด้านหนึ่ง หรือจะระบุอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เข้ามารบกวนจิตของเรา ทำให้จิตของเราต้องคิดมากฟุ้งซ่านและไม่สงบ
4. ทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อธิษฐานจะรักษาศีล 5 รักษาความซื่อสัตย์ รักษาความซื่อตรง ฯลฯ แล้วทุกครั้งก็อุทิศกุศลผลบุญจากการอธิษฐานนั้น ยกให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เข้ามารบกวนจิตของเรา ทำให้จิตของเราต้องคิดมากฟุ้งซ่านและไม่สงบ
5. สวดมนต์ ทำละหมาด หรือทำพิธีกรรมทางศาสนา ตามศาสนาที่เรานับถือ เสร็จแล้วก็ทำเหมือนเดิม คือ อุทิศกุศลผลบุญเหล่านั้นให้เจ้ากรรมนายเวรที่ตามรังควานเรา จะทำให้จิตของเราสงบขึ้น ว่างขึ้น ความทุกข์จะเจือจางลง
ถ้าเป็นศาสนาอื่น ก็อุทิศผลบุญเหล่านั้นให้พระเจ้า หรือส่งผลบุญให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ พวกท่านจะส่งผลบุญของเราไปให้เหล่าวิญญาณที่ตามรังควานเราเอง
สรุป
จิตดั้งเดิมของเรา เป็นจิตปภัสสร เป็นจิตว่างบริสุทธิ์สะอาด แต่เพราะจิตว่างบริสุทธิ์สะอาดของเรา เที่ยวไปก่อเวรก่อกรรมกับจิตอื่นๆข้ามภพข้ามชาติไปเรื่อยๆ ทำให้จิตของเรากลายเป็น จิตไม่ปภัสสรไป เป็นจิตไม่ว่าง ไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป เราจึงต้องใช้หนี้บุญกรรมและหนี้บาปกรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไปเรื่อยๆ เมื่อหนี้บุญกรรมและหนี้บาปกรรมค่อยๆลดและเบาบางลง ในที่สุด มันก็จะทำให้จิตของเรากลับเป็นจิตปภัสสรที่ว่าง สงบ บริสุทธิ์ และสะอาดอีกครั้งหนึ่ง
เนื่องจาก เราทุกจิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นเปรต เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นยักษ์ เป็นพรหม เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก ฯลฯ แท้จริงเริ่มแรก... เราล้วนเคยเป็นพระอรหันต์ เป็นพุทธะ เป็นพระเจ้า มาแล้วทั้งนั้น เราแค่ลงมาเล่นละครใน 3 ภพ เป้าหมายสุดท้ายของเรา ก็คือกลับไปเป็นพระอรหันต์ เป็นพุทธะ เป็นพระเจ้า ซึ่งเป็นจิตปภัสสรที่สงบ ว่าง บริสุทธิ์ และสะอาดเหมือนเดิมเริ่มแรก ก่อนจะมาเล่นละครค้นหาตัวเองใน 3 ภพ(31 ภพภูมิ)
0 comments:
แสดงความคิดเห็น