A A

21 มีนาคม 2558

เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ได้จริงๆ ชีวิตจะมีความทุกข์น้อยลงเรื่อยๆ

เรื่องนี้ก็คือ....จิตมนุษย์ที่เป็นคนธรรมดา  จิตเหล่านั้นจะเที่ยวไปก่อเวรก่อกรรม และสร้างบุญสร้างกุศลกับจิตมนุษย์ท่านอื่นๆ  ทำให้จิตมนุษย์ทั้งหมดต้องชดใช้เวร ชดใช้กรรม และรับผลบุญกุศล ตามภพภูมิต่างๆในปรโลก  แล้วสุดท้ายก็ต้องมาเกิดเพื่อชดใช้บุญกรรมและบาปกรรมในโลกมนุษย์อีก....ตามกฎแห่งกรรม

เมื่อเรารู้อย่างนี้ว่า

- กฎแห่งกรรมทำให้เรารวยเราจน ทำให้ป่วยไข้ หรือมีสุขภาพดี แข็งแรง
- กฎแห่งกรรมทำให้เรามีครอบครัวที่ดี เพื่อนฝูงที่ดี ไม่ค่อยทะเลาะแว้งกัน  หรือมีครอบครัวที่ไม่ดี  มีเพื่อนฝูงที่ไม่ดี ชอบทะเลาะเบาะแว้งประจำ  
- กฎแห่งกรรมให้เราได้ครอบครอง หรือไม่ได้ครอบครองปัจจัยต่างๆในโลก มากน้อยแล้วแต่บุญบาปที่เราเคยทำไว้  
- ฯลฯ

ด้วยเหตุนี้  เมื่อเราสมหวังหรือไม่สมหวังในสิ่งใด  ก็ไม่ควรไปวิตกกังวลอะไรทั้งนั้น  ทุกอย่างมันเป็นบุญเป็นกรรมที่เราก่อไว้กับคนอื่น  ส่งผลมาให้กับเราประสพเท่านั้นเอง  เราควรปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกจิตแท้ดั่งเดิมของเรา  ที่ว่างเปล่าและบริสุทธิ์เป็นจิตปภัสสร  ปล่อยวางเรื่องราวเหล่านั้นออกไปให้หมด

แต่เรื่องการปล่อยวางเรื่องราวภายนอกทุกสิ่งทุกอย่าง  ออกไปจากจิตเดิมแท้ปภัสสรของเราไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  เพราะเจ้ากรรมนายเวรของเรานั้น  แฝงตัวอยู่ในจิตมนุษย์ที่ไม่ปภัสสรของเราแล้วในตอนนี้  เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไม่ยอมเราง่ายๆหรอก  จนกว่าพวกเขาจะได้รับการชำระหนี้บาปกรรมและหนี้บุญกรรมกับเราแล้วเท่านั้น   เจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้ทำให้เราต้องคิดเป็นทุกข์ หรือต้องคิดเป็นสุขกับเรื่องราวภายนอกเหล่านั้นไปเรื่อยๆ...จนกว่าจะหมดกรรมกันไป


ทางแก้ไขง่ายที่สุดให้จิตไม่คิดมาก ไม่ฟุ้งซ่าน กลับมาสงบ คือ:

1.  ทำบุญทำทาน แล้วทุกครั้งก็อุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร  โดยระบุไปเลยว่า  อุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้านไหน  เช่น ด้านสุขภาพ  ด้านเงิน  ด้านงาน  ด้านการเรียน ด้านคู่ครอง ฯลฯ  ก็ระบุไปด้านเดียว
2.  ทำสมาธิหรือสมถะกรรมฐาน  แล้วทุกครั้งก็อุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้านไหนก็ระบุไป
3.  ทำวิปัสสนา  หรือสติปัฎฐาน 4 แบบใดแบบหนึ่ง  แล้วทุกครั้งก็อุทิศกุศลผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรด้านใดด้านหนึ่ง  หรือจะระบุอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เข้ามารบกวนจิตของเรา ทำให้จิตของเราต้องคิดมากฟุ้งซ่านและไม่สงบ
4.  ทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง  เช่น อธิษฐานจะรักษาศีล 5  รักษาความซื่อสัตย์ รักษาความซื่อตรง  ฯลฯ   แล้วทุกครั้งก็อุทิศกุศลผลบุญจากการอธิษฐานนั้น  ยกให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เข้ามารบกวนจิตของเรา ทำให้จิตของเราต้องคิดมากฟุ้งซ่านและไม่สงบ
5.  สวดมนต์ ทำละหมาด หรือทำพิธีกรรมทางศาสนา ตามศาสนาที่เรานับถือ  เสร็จแล้วก็ทำเหมือนเดิม คือ อุทิศกุศลผลบุญเหล่านั้นให้เจ้ากรรมนายเวรที่ตามรังควานเรา  จะทำให้จิตของเราสงบขึ้น ว่างขึ้น  ความทุกข์จะเจือจางลง

ถ้าเป็นศาสนาอื่น  ก็อุทิศผลบุญเหล่านั้นให้พระเจ้า หรือส่งผลบุญให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ  พวกท่านจะส่งผลบุญของเราไปให้เหล่าวิญญาณที่ตามรังควานเราเอง

สรุป

จิตดั้งเดิมของเรา เป็นจิตปภัสสร  เป็นจิตว่างบริสุทธิ์สะอาด  แต่เพราะจิตว่างบริสุทธิ์สะอาดของเรา เที่ยวไปก่อเวรก่อกรรมกับจิตอื่นๆข้ามภพข้ามชาติไปเรื่อยๆ  ทำให้จิตของเรากลายเป็น จิตไม่ปภัสสรไป  เป็นจิตไม่ว่าง ไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป  เราจึงต้องใช้หนี้บุญกรรมและหนี้บาปกรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไปเรื่อยๆ  เมื่อหนี้บุญกรรมและหนี้บาปกรรมค่อยๆลดและเบาบางลง  ในที่สุด มันก็จะทำให้จิตของเรากลับเป็นจิตปภัสสรที่ว่าง สงบ บริสุทธิ์ และสะอาดอีกครั้งหนึ่ง

เนื่องจาก เราทุกจิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นเปรต  เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า  เป็นยักษ์  เป็นพรหม เป็นสัตว์เดรัจฉาน  เป็นสัตว์นรก ฯลฯ  แท้จริงเริ่มแรก... เราล้วนเคยเป็นพระอรหันต์ เป็นพุทธะ  เป็นพระเจ้า มาแล้วทั้งนั้น  เราแค่ลงมาเล่นละครใน 3 ภพ  เป้าหมายสุดท้ายของเรา ก็คือกลับไปเป็นพระอรหันต์ เป็นพุทธะ  เป็นพระเจ้า  ซึ่งเป็นจิตปภัสสรที่สงบ ว่าง บริสุทธิ์ และสะอาดเหมือนเดิมเริ่มแรก ก่อนจะมาเล่นละครค้นหาตัวเองใน 3 ภพ(31 ภพภูมิ) 

0 comments:

แสดงความคิดเห็น