A A

21 มีนาคม 2558

ช่างหัวแม่งมัน นิพพานหรือไม่ ไม่สนทั้งนั้น ปล่อยมันไป ว่างให้หมด ไม่ต้องคิดนึกถึงมัน..นั่นแหละนิพพาน

เธอเข้าใจสิ่งนี้เมื่อไร  เธอก็เข้าใจหัวใจของพุทธศาสนาเมื่อนั้น

เธอบรรลุสิ่งนี้เมื่อไร  เธอก็บรรลุไม่เพียงหัวใจของพุทธศาสนา แต่เธอจะบรรลุหัวใจของทุกศาสนาด้วย


นิพพาน หรือ พระเจ้า ก็คือสิ่งนี้ คือเชาว์ปัญญา.... เชาว์ปัญญานี้นี่เองคือสิ่งเดียวกันกับที่เราเรียกว่า ความว่าง หรือสุญญตา  อันความว่างนั้น เราถือว่าเป็น "หัวใจของพระพุทธศาสนา"

คนเรามักจะแบกเอาสิ่งที่เรียกว่า ความทรงจำ ประสบการณ์ ความกังวล ความโศกเศร้า หน้าที่การงาน ชื่อเสียง ความสำเร็จ ความกลัว ความรัก ความขัดแย้ง ฯลฯ เอาไว้  โดยคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ  ทั้งๆที่เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น  มันมีสาระเพราะคนเหล่านั้นไปคิดยึดติดกับมัน  

แก่นแท้ของคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีขึ้นเพื่อถอดถอน ความทะยานอยาก ความโกรธ ความหลง และความคิดยึดติดสิ่งเหล่านี้

ความสุขทั้งมวลบนโลกใบนี้ที่มนุษย์ถวิลหา  พระพุทธองค์ทรงพบมาหมดแล้ว แต่ก็นั้นแหละ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงที่พระองค์แสวงหา  ความสุขที่แท้จริงที่พระพุทธองค์แสวงหากลับเป็น ความสงบจากความทะยานอยาก สงบจากความโกรธความหลง

พระพุทธองค์ทรงพบความสุขที่แท้จริงที่พระองค์แสวงหา จากการหยุดความคิดปรุงแต่งจากความทะยานอยาก ความโกรธ ความหลงในใจของพระองค์เอง

เมื่อหยุดค้นหา  หยุดความคิดปรุงแต่งจากความทะยานอยาก หยุดความโกรธ หยุดความหลงในใจของพระองค์เองแล้ว  พระองค์ก็เปิดตามองดู  ใช่แล้ว....ความสุขสงบที่แท้ที่ทรงตามหานั้น  อันที่จริงมันอยู่ตรงนี้ อยู่ที่นี่เสมอมา คืออยู่ภายในใจของพระองค์เอง  เพียงแค่พระองค์หยุด และวางลงซึ่งความยึดถือเท่านั้น

"แสวงหานิพพานกลับไม่พบ  หยุดแสวงหานิพพานจึงพบนิพพาน"

"ธรรมะ" ในพระพุทธศาสนานั้นไม่ได้อยู่ในตำรับตำราหรืออยู่ในคัมภีร์ใด  แต่อยู่ในความว่างดั้งเดิมหรือจิตเดิมแท้  สรรพสิ่งอื่นนอกเหนือจากความว่างดั้งเดิม ที่อยู่ในความคิดของเรา ล้วนเกิดจากการสั่งสมความทรงจำ ประสบการณ์ มายาภาพ แลมายาคติทั้งมวลเอาไว้  ไม่ยอมวางลง  

เมื่อไม่ยอมวางความคิดแปลกปลอมจากความว่างดั้งเดิม  จิตมนุษย์จึงนำเอาความสุขความทุกข์ทางโลกที่ไม่จีรังยั่งยืนเข้ามา

เธอจงปลดปล่อยความคิดปรุงแต่ง ความทรงจำ ประสบการณ์  ปลดปล่อยมายาภาพ  แลมายาคติทั้งมวล ออกไป  เธอไม่มีความคิดปรุงแต่งอีกเลยว่า เธอเป็นชาวพุทธ เธอเป็นคริสต์ อิสลาม ฮินดู  หรือเธอเป็นแพทย์ เป็นนักการเมือง เป็นพระ หรือเธอเป็นคนกวาดถนน  เธอจงปลดปล่อยคิดปรุงแต่ง ความทรงจำ ประสบการณ์เหล่านั้นออกไปให้หมด  เหลือเพียงความว่างเปล่าดั้งเดิมเท่านั้น  

เมื่อไรที่เธอเข้าใจสิ่งนี้  เมื่อนั้นเธอก็เข้าใจหัวใจของพุทธศาสนา

เมื่อไรที่เธอบรรลุสิ่งนี้  เมื่อนั้นเธอก็จะบรรลุไม่เพียงหัวใจของพุทธศาสนา แต่เธอจะบรรลุหัวใจของทุกศาสนาในโลกและในจักรวาล

พระอานนท์ ปฏิบัติ และแสวงหานิพพานเท่าไร..ไม่พบสักที  พอท่านหยุดแสวงหา  หัวถึงหมอน  พบนิพพานทันที

สรุป

....ช่างหัวแม่งมัน  จะบรรลุนิพพานหรือไม่  ไม่สนทั้งนั้น  ปล่อยมันไป  ว่างให้หมด  ไม่ต้องคิดนึกถึงมัน......นั่นแหละคือ นิพพาน


เมื่อเรามีความนึกคิดถึงอดีต ที่เราต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เราไม่ได้สิ่งนั้น  เช่น ต้องการให้ลูก ให้ภรรยา ให้สามี ปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้  แต่เราก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น  เราจึงมีความเครียด  มีความกังวล  มีความกลัว  มีความโศกเศร้า ฯลฯ ขึ้นมาทุกครั้งที่คิดถึงมัน = demandจากความคิดของเราในเรื่องราวในอดีต  ทำให้เราเป็นทุกข์  ทั้งๆที่เรื่องนั้นผ่านไปแล้ว แต่เราไปคิดต่อ  ความทุกข์จึงตามมา

เรามีหน้าที่การงาน การเงินที่ดี เรามีชื่อเสียง เรามีความสำเร็จในชีวิต แต่ในสภาวะหนึ่งในชีวิตของเรา  เรากลับเสียเงิน เสียชื่อเสียง  เสียงาน  และไม่ประสพความสำเร็จ  
เราไม่ได้มีdemand หรือความคิดมาก่อนว่า  เราจะเสียสิ่งเหล่านั้น  เราจึงเกิดความทุกข์ขึ้นมาเมื่อเสียมันไป 

เราคาดการณ์ว่า ปีหน้าจะได้โบนัส 4 เดือน  ปีหน้าเศรษฐกิจจะดี  การค้าของเราจะรุ่งเรือง  เราจะมีเงินส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ  แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน  ความฝันของเราพังทลาย  เราจึงมีความทุกข์และความกลัวเรื่องราวในชีวิตไปอีกนาน 
ฯลฯ
จะเห็นว่าความทุกข์ทั้งหมดที่กล่าวมา  เป็นตัวอย่างเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตบางเรื่องเท่านั้น  ถ้าจิตเราคิดนึก และมีdemandหรือมีกิเลสขึ้นมาแม้แต่เรื่องเดียว  เราย่อมหลีกเลี่ยงความทุกข์ไม่พ้นทั้งนั้น  รวมทั้งการที่เราประสพสิ่งที่เราไม่ต้องการ เราไม่ได้มีdemandในเรื่องนั้นแบบนั้น  แต่เรากลับได้รับสิ่งนั้นมา  ก็ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์ด้วย  เราไม่ต้องการเจ็บป่วย  แต่ก็ยังเจ็บป่วย  เราไม่ต้องการเสียสิ่งที่เรารักไป  แต่วันนึงเราก็ต้องเสียสิ่งนั้นไป 

สิ่งที่ปรากฏกับเราทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำใดๆ ประสบการณ์ใดๆ  ความกังวลใดๆ ความโศกเศร้าใดๆ หน้าที่การงานใดๆ ชื่อเสียงใดๆ ความสำเร็จใดๆ ความกลัว ความรัก ความขัดแย้ง...ใดๆ ฯลฯ  ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เราไปนึกคิด  ไปฝันเฟื่องเอาเองทั้งนั้น   ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ  เป็นเรื่องที่บาปกรรมและบุญกรรมที่เราเคยทำไว้.....ส่งผลมาให้ทั้งสิ้น

เมื่อเรารู้ว่า กฎแห่งกรรม หรือที่ศาสนาอื่นเรียกว่าพระเจ้า  ส่งผลมาให้เราเล่นละครแสดงบทบาท และเผชิญชะตาดีชะตาร้ายอย่างนั้น  ไม่มีอะไรที่เป็นแก่นสารสักอย่างเดียว  จิตของเราจึงไม่ควรไปยึดถือเรื่องราวทุกอย่างในโลกไว้   ไม่ต้องไปแบกอะไรเอาไว้  ปล่อยจิตให้ว่างไปตลอด การปล่อยจิตให้ว่างตลอดไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร  แม้แต่ตัวกู ของกู  ก็ไม่ไปยึดถือเอาไว้  ให้ทุกอย่างมันว่าง

เมื่อจิตว่างจาก demand ของโลกทุกอย่าง  นั่นแหละ... เราพบ "นิพพาน" แล้ว

0 comments:

แสดงความคิดเห็น