teamsleep เขียน:
1. ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีลธรรม แม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
2. ทำทานแก่มนุษย์ไม่มีศีลธรรม แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
3. ทำทานแก่ผู้ที่ไม่มีศีล แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
4. ทำทานแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 10 คือสามเณรแม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
1. ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีลธรรม แม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
2. ทำทานแก่มนุษย์ไม่มีศีลธรรม แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
3. ทำทานแก่ผู้ที่ไม่มีศีล แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
4. ทำทานแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 10 คือสามเณรแม้เพียงครั้งเดียวก็ตาม
ตอบ
ผมเห็นการสอนและการตีความผิดๆแบบนี้ทีไร เป็นต้องตอบทุกครั้ง
1. บุญและผลบุญที่คุณกำลังพูดถึง คือบุญและผลบุญทางวัตถุ ในขณะที่บุญและผลบุญที่พระพุทธเจ้าพูดถึง ก็คือการทำให้บรรลุธรรมเข้านิพพาน
2. บุญและผลบุญทางวัตถุ เป็นการสะท้อนจิตใจของผู้ให้ และจิตใจของผู้รับ อาจจะไม่ใช่บุญและผลบุญที่จะทำให้บรรลุธรรมเข้านิพพาน ถ้าพระพุทธเจ้าคิดแบบคุณ ท่านคงไม่ไปสอนองคุลิมาลหรอก แต่เพราะท่านสอนองคุลิมาลจนกลับใจได้ยังไงล่ะ บุญและผลบุญที่ทำกับผู้ทุศีลที่สุด ทำให้ศาสนาของท่านแผ่ขยายและยืนยงอยู่ได้จนถึงป่านนี้
3. บุญและผลบุญตามความหมายของพระพุทธเจ้า ที่จะทำให้เราบรรลุธรรม คือ การทำบุญให้คนบาป และสัตว์เดรัจฉาน มีผลบุญมากกว่าการทำบุญให้พระอรหันต์เสียอีก เพราะเป็นการฝืนกับคำสอนและหลักการที่พวกปริยัติตีความกันผิดๆถูกๆ แต่เราก็ยังทำ
ตัวอย่าง
25 ปีก่อนสมัยผมเรียนที่ธรรมศาสตร์ มีวัยรุ่นคนหนึ่งมาไถเงินเพื่อนผมในธรรมศาสตร์ 20 บาท เพื่อนผมไม่ยอมให้ วัยรุ่นคนนั้นก็ขู่ว่าจะเอามีดแทง ด้วยความกลัวเพื่อนผมก็ไปสะกิดบอกเพื่อนอีกคน แล้วเพื่อนอีกคนก็สะกิดบอกผม
ผมก็ไปเจรจากับวัยรุ่นคนนั้น ผมบอกว่า ผมไม่เชื่อว่าคุณมีมีด ถึงมีคุณก็ไม่กล้าแทงใครเพราะเพื่อนของผมที่อยู่ที่นั้นมีประมาณ 7 คน ผมบอกเขาไปตรงๆว่าเรื่องเงิน ผมและเพื่อนของผมมีเงินให้คุณอยู่แล้ว เพียงแต่ท่าทางลักษณะของคุณไม่เหมือนโจร มีเรื่องอะไรก็บอกได้ ผมช่วยอยู่แล้ว ขอให้พูดความจริง
ชายคนนั้นหน้าเศร้าและก้มหน้าตลอดนะครับ เขาสารภาพว่ามาเที่ยวสนามหลวงกับเพื่อนๆ ตอนขากลับไม่มีเงินเหลือ เลยลองใช้วิธีนี้ดู เผื่อได้ผล เขาไม่กล้าใช้กับผู้หญิง แม้ว่าง่ายกว่าที่จะได้เงิน เพราะเขาอาย เลยใช้กับผู้ชายแทน แล้วเขาก็บอกว่า ถ้าพี่ต้องการช่วยจริงๆ ขอสัก 5 บาท หรือแค่ค่ารถเมล์กลับก็ได้ ผมเลยหยิบเงินให้เขาไป 20 บาท
ผมสุขใจทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ เพราะได้ช่วยเขา(ผู้ที่คุณตีความว่าเป็นผู้ทุศีล) ทำให้เขาไม่ต้องเป็นโจรในอนาคต เพราะเขาไม่มีเงิน แล้วพอได้เงินจากการรีดไถครั้งแรก ครั้งต่อไปก็จะประกอบอาชีพรีดไถต่อ และก็จะลุกลามไปเรื่อยๆ จนถึงลักขโมย ชิงทรัพย์ แล้วอาจจะปล้นด้วย
ผมได้บรรลุธรรมในวันนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากแรงสะท้อนกลับของการฝืนหลักการของมนุษย์ ที่ตีความเรื่องศีลธรรมผิดๆถูกๆ
สรุป
ถ้าบุญและผลบุญที่ให้ผลทางวัตถุแล้ว การทำบุญกับพระอรหันต์ให้ผลมากมายมหาศาลจริง เพราะการสะท้อนกลับของพลังบุญในตัวท่านแรงกว่าการสะท้อนกลับของคนธรรมดาเป็นพันเป็นหมื่นเป็นล้านเท่า ส่วนการทำบุญให้กับคนมีศีลธรรม ผลตอบแทนทางวัตถุกลับมา ก็ต้องสูงกว่าคนทุศีลอยู่แล้ว ด้วยเหตุที่แรงสะท้อนสูงกว่าผู้ทุศีลนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม บุญตามความหมายของคุณ ส่วนใหญ่เป็นการสะท้อนกลับด้านวัตถุ ไม่ใช่เป็นการสะท้อนกลับที่จะทำให้เราหมดทุกข์เข้านิพพานหรือสวรรค์นิรันดรได้ ไปได้แค่สวรรค์ชั้นกามภูมิ
ความจริงแล้ว ถ้าการทำบุญทุกครั้งของคุณใช้หลักการที่คุณว่า คุณจะกลับกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุดด้วย คนที่ต้องการผลบุญของคุณ ถึงขั้นมาขอ ล้วนเป็นสัตว์เดรัจฉานและผู้ทุศีลในอดีตชาติทั้งนั้น เขากำลังรับกรรมของเขา แต่คุณกลับไม่ช่วยอะไรเขาเลย เนื่องจากขัดกับหลักการของคุณ คือ จะช่วยใคร ก็ให้ช่วยเพราะความเห็นแก่ตัว อยากได้กลับมามากๆๆๆๆ อย่างเดียว ไอ้พวกช่วยไป ได้กลับเป็นเงินน้อยๆ จะไปช่วยทำไม
ผมว่าเราฆ่าสัตว์เดรัจฉานและคนจนให้หมดเลยไม่ดีกว่าหรือ จะได้ไม่มีใครมาขอความช่วยเหลือจากเรา
0 comments:
แสดงความคิดเห็น