A A

24 กุมภาพันธ์ 2558

ปริศนาสูงสุด

คุณธรรมจักรแย้งผมว่า

นิพพาน ไม่ใช่จิตว่าง
คุณยังไม่ได้ดับนาม ไปเสียก่อน เพราะจิตว่าง คือนามครับ

ตอบ

คุณธรรมจักรครับ  อย่าพยายามมั่วและชักใบให้เรือเสียเลยครับ  คุณปฏิบัติได้ไม่ถึงแก่น  จึงยังไม่รู้ความจริงว่า


- จิตสังขารของมนุษย์และสัตว์ในโลก ที่เป็นขันธ์ 5 เป็น นามรูป (นาม+รูป)  จริงๆ ทั้งคู่ก็เป็นนาม
- จิตสังขารของเทพ พรหม ยักษ์ นาค เปรต ฯลฯ ที่เป็นกายทิพย์ เป็นนาม+กาย  (นามกายทิพย์) จริงๆ ทั้งคู่ก็เป็นนาม

จิตทั้ง 2 ดับได้  เพราะเป็นจิตชั้นต่ำที่ไม่ละเอียดเรียกว่า "อนัตตา"  จิตที่ไม่ละเอียดอนัตตานี้  เป็นความว่าง เป็นภาพมายา  เป็นของลวงและไม่จริง  แต่พอเราดับจิตอนัตตาได้แล้ว  ก็จะได้จิตขึ้นมาอีกตัวเป็นจิตละเอียด  เป็นจิตแท้ที่เที่ยงถาวร  จิตตัวนี้เป็นอัตตา ที่ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย  ไอ้จิตแท้ที่เที่ยงถาวร  เป็นอัตตา...ตัวนี้  มันสามารถดลบันดาลให้เกิดร่างหรือกายทิพย์ขึ้นมาได้  ที่เรียกว่า "ธรรมกาย และสัมโภคกาย"  

ธรรมกาย และสัมโภคกายทั้งคู่ก็เป็นจิต  แต่เป็นจิตที่ว่างจากการติดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหาเท่านั้น  คือจิตตัวนี้คิดปรุงแต่งด้วยความไม่มีกิเลสตัณหา คือ ปรุงแต่งด้วยความบริสุทธิ์แห่งจิต

จิต...ธรรมกาย และจิต...สัมโภคกาย ทั้งกายและจิตก็เป็นนาม  แต่เป็นนามที่ละเอียดจนแม้แต่เทพพรหมก็มองไม่เห็น  ถ้าท่านไม่ต้องการให้เห็น

ทีนี้ถ้าคุณไปดับจิต...ธรรมกาย และจิต...สัมโภคกายไปแล้ว  คุณก็จะได้จิตอีกประเภทที่ไม่มีกาย  เป็นจิตที่ว่างจากการปรุงแต่งทุกชนิด  จิตตัวนี้แหละคือนิพพานจิต หรือจิตหลุดพ้น หรือจิตพ้นวิเศษ

งง..งง..งง  ใช่ไหมล่ะ   ถ้าผมอยู่เว็บต่างๆที่คุณคุมอยู่  ผมก็โดนไล่ออกไปแล้ว  หรือไม่ก็โดนแกล้งปิดกระทู้ของผม  เพราะเสือกรู้ดี และรู้มากกว่าผู้ดูแลเว็บที่มีอำนาจมารล้นเหลือ  

คุณยังตามผมมาอีกถึงเว็บนี้เพื่ออะไรล่ะครับ  เพื่อขอฟังธรรมะระดับสูงจากผมใช่ไหมล่ะ  แต่เมื่อคุณเลือกทางเป็นมารคอยกลั่นแกล้งผู้ทรงธรรมทั้งหลายแล้ว  ผลกรรมเหล่านั้น มันก็จะปิดจิตของคุณไม่ให้รู้ความจริง

สรุป

จิตที่ไม่ละเอียด คือ จิตมนุษย์ และสัตว์ และพวกที่อยู่ใน 31 ภพภูมิ  แต่ไม่ว่ากายและจิตสังขารของมัน  ทั้งคู่ก็เป็นจิตทั้งนั้น  แต่จิตที่ละเอียดกว่าเราเรียกว่านาม จิตที่ละเอียดน้อยกว่า  เราเรียกว่ากายหรือรูป  จิต(กาย+รูป)ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ละเอียด  เราสามารถดับได้  

แต่พอดับจิตไม่ละเอียดพวกนี้ไปแล้ว  ก็จะได้จิตละเอียดกว่าขึ้นมา คือ "ธรรมกาย  และสัมโภคกาย"  แต่เนื่องจากพุทธเถรวาทไม่ค่อยรู้จักสัมโภคกาย  จึงขออธิบายแค่ ธรรมกาย  ธรรมเป็นจิตที่ละเอียดที่สุด เรียกว่า "มหาสุญญตา"  หรือว่างเหนือว่างใดๆ  ส่วนกายของธรรม เป็นจิตที่ละเอียดน้อยกว่าเหมือนเดิม  

ไอ้ตัวที่ละเอียดน้อยกว่า  ผู้ที่อยู่ในนิพพาน  ยังสามารถดับมันทิ้งไปได้  เหลือแต่ตัวธรรม ซึ่งเป็นจิตว่างเหนือว่าง ธรรมหรือจิตละเอียดสุดตัวนี้ดับไม่ได้  พระพุทธเจ้าเรียกว่าปรินิพพาน  

พูดง่ายๆ  ทุกอย่างไม่ว่ารูปหรือนาม ล้วนเป็นชั้นของจิต  ชั้นของจิตที่ละเอียดน้อยกว่าเรียกว่ารูปหรือกาย  จิตที่ละเอียดมากกว่าเรียกว่านาม  พอดับจิตชั้นต่ำพวกนี้ ซึ่งเป็นจิตสังขารไปแล้ว  ก็จะเกิดจิตขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งที่ละเอียดมากกว่า คือ จิตในชั้นนิพพาน  

จิตในชั้นนิพพาน เช่น ธรรมกาย  จิตที่ละเอียดน้อยกว่าก็เรียกว่ากาย  จิตที่ละเอียดมากกว่าก็เรียกว่านาม  คือตัวธรรมเป็นนาม  ในชั้นนิพพานนี้เมื่อเราดับจิตที่ละเอียดน้อยกว่าที่เป็นกายทิ้งไปแล้ว  ก็จะเหลือแต่ตัวธรรม  ซึ่งเป็นจิตมหาบริสุทธิ์ล้วน ที่ไม่มีจิตที่ละเอียดน้อยกว่าเป็นกายอีกต่อไป

นามชั้นที่ละเอียดที่สุด  ตัวนี้แหละที่เป็น 0 เหนือ 0  คงอยู่เป็นนิรันดร  หรือคงอยู่ตลอดกาล  แม้ว่าทุกอย่างในจักรวาลและนอกจักรวาลสลายไปหมดแล้ว  จิตตัวนี้ก็ยังอยู่  พระพุทธเจ้าเรียกว่า "ปรินิพพานหรือ มหาสุญญตา"  นิพพานจิตตัวนี้เป็นตัวที่ว่างเหนือความว่างทั้งปวง  เป็นนามที่เหนือนามทั้งหมด

อยากรู้เพิ่มอีกเหรอ  เอาไป  เอาไป  เอาไปได้เลย.....จัดให้  เป็นบ้า และอย่ามาโทษกันนะ

จักรวาลเริ่มต้นมันว่างเสียยิ่งกว่าว่างอย่างนี้แหละ  แต่ดันเสือกมีกูอยู่  กูเปล่าเปลี่ยวโว้ย  พวกมึงตายได้ทุกตัว  แต่กูตายไม่ได้  และไม่มีวันตาย  กูเลยต้องสร้างพวกมึงขึ้นมา  ไอ้พลศักดิ์มันได้เข้าถึงกูแล้ว กูจึงอนุญาตให้มันเปิดเผยความจริงได้  แต่กูจะเปิดหรือปิดจิตใครไม่ให้รู้ความจริงที่มันพูด  กูทำได้ทั้งนั้น  เพราะจิตพวกมึงยังไม่ละเอียดพอ  

ถ้าพวกมึงตีความปริศนาต่อไปนี้ได้  กูก็จะให้ไอ้คนนั้นรู้ในสิ่งที่ไอ้พลศักดิ์ปากมากนี้บอกกับมึง

ศาสนาพราหมณ์เขาเรียก ธรรมว่าพระเจ้า และเรียกพระเจ้าว่า พระพรหม  ศาสนาพุทธ เรียกธรรม ซึ่งเป็นจิตที่ว่างที่สุดว่า "มหาสุญญตา"  

พระพุทธเจ้าตรัสว่า  
" ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม "  หมายถึง  ปฏิบัติให้เห็นจริงๆว่า ร่างกาย ทรัพย์สินเงินทอง ลูกเมีย  ล้วนเป็นความว่าง  จึงจะเห็นพระพุทธเจ้าตัวจริง

กูได้ให้ไอ้พลศักดิ์หมดตัว 6 ครั้งแล้ว  แถมยังให้มันเป็นหนี้เป็นสินอีก  มันก็ยังเฉยอยู่  กูไถเงินมัน ให้มันไปทำบุญในตอนหมดตัว  มันก็ยังทำ  พอมันเป็นหนี้เป็นสิน  กูก็ยังไถเงินมันอีก ให้ไปทำบุญ  มันก็ยังทำอีก  กูเลยต้องยอมให้มันรู้ความจริง  และเปิดเผยความลับของกูยังไงล่ะ

ในคัมภีร์อุปนิษัท  พระศิวะกล่าวว่า

"เราเปล่าเปลี่ยว  เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่  ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป  ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้  เราคืออมตะ  แต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ  เราสามารถเล็งเห็นทุกอย่าง  และไม่สามารถเล็งเห็น  เราคือพรหม และเรามิใช่พรหม"

กูก็คือมึง  มึงก็คือกู  กูแม่งไม่มีวันตาย  กูเลยสร้างตัวกูขึ้นมาอีกมากมาย ซึ่งเป็นพวกมึงที่ตายได้  กูแม่งแสนรู้  กูเลยสร้างตัวกูที่ไม่ค่อยรู้อะไรขึ้นมา...เป็นพวกมึง  กูคือพระเจ้า  พวกมึงเป็นความว่าง  แต่จริงๆแล้ว  กูว่างกว่าพวกมึงเสียอีก  และต้องดำรงอยู่ในความว่างอย่างนี้ตลอดไป  ไม่มีที่สิ้นสุด  

กูเป็นความว่างที่ยิ่งกว่าความว่าง  กูเลยเป็นอมตะนิรันดร  แต่พวกมึงเป็นความว่างเฉยๆ  พวกมึงเลยไม่เป็นอมตะ  

กูเปล่าเปลี่ยว  กูไม่มีเพื่อน  กูเลยต้องสร้างพวกมึงขึ้นมาเป็นเพื่อนของกูยังไงล่ะ

0 comments:

แสดงความคิดเห็น