A A

22 กุมภาพันธ์ 2558

เจาะลึก ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร

ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร( พระสูตรว่าด้วยปัญญาอันเป็นหัวใจพาไปถึงฝั่งพระนิพพาน )

พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ เมื่อทรงได้บำเพ็ญปัญญาบารมีจนบรรลุถึงโลกุตรธรรมอันลึกซึ้งแล้ว ก็พิจารณาเล็งเห็นว่าที่แท้จริงแล้วขันธ์ ๕ นั้นเป็นสูญ(สูญญตาหรืออนัตตาหรือความว่าง) และเมื่อสามารถมองเห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นสูญแล้ว จักช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

ท่านสารีบุตร รูปไม่ต่างจากความสูญ ความสูญไม่ต่างไปจากรูป

รูปก็คือความสูญ ความสูญก็คือรูปนั้นเอง

เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นความสูญเช่นเดียวกัน ท่านสารีบุตร ธรรมทั้งปวงมีความสูญเป็นลักษณะไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่หย่อน ไม่เต็มอย่างนี้

เพราะฉะนั้นแหละ ในความสูญจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน ๖ อย่าง) ไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์

(อายตนะภายนอก ๖ อย่าง) ไม่มีวิญญาณ(ความรู้สึกรับรู้ได้) ในอายตนะภายในทั้ง ๖ ด้วย (จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ) ไม่มีวิชา ไม่มีอวิชา ไม่มีความสิ้นไปแห่งวิชชาและอวิชชา จนถึงไม่มีความแก่ความตาย และไม่มีสิ้นไปแห่งความแก่ความตาย

ไม่มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่มีญาณ(ปัญญา) ไม่มีการบรรลุถึงซึ่งปัญญา และไม่มีอะไรที่ต้องบรรลุอยู่ต่อไป


พระโพธิสัตว์ เมื่อได้ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมีแล้ว เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีจิตที่เหลืออยู่ต่อไปแล้ว จึงเป็นผู้มีความเห็นถูกต้องชอบธรรม (สัมมาทิฐิ) และกระทำกิจทั้งปวงอย่างถูกต้องโดยเสมอ ในที่สุดก็บรรลุถึงพระนิพพาน บรรดาปวงพระพุทธเจ้าทุกๆองค์มีทั้งอดีตกาล ปัจจุบันกาล และอนาคตกาล ล้วนต่างได้เคยบำเพ็ญปัญญาบารมีมาด้วยกันแล้วทุกๆพระองค์ และเมื่อได้บำเพ็ญคุณธรรมนี้แล้วจึงได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

ดังนั้นควรได้ทราบว่าปัญญาบารมีนี้เป็นมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นมนต์ที่ไม่อาจมีมนต์บทใดมาเทียบเคียงได้ เป็นมนต์ที่สามารถขจัดทุกข์ภัยทั้งปวง และนำพาไปสู่แดนนิพพานได้แน่นอน จึงไม่ควรจะมีความกังขาใดๆ ต่อไปเลย

ดังนั้นควรหมั่นสวดภาวนามนต์บทนี้ ด้วยเหตุนี้แล
...จงไป ไป ไปยังฟากฝั่งโน้น ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิงไปสู่ความเป็นผู้รู้ไปสู่ความสงบสันติเบิกบานเกษมศานต์เถิด

ตีความแบบเจาะลึก

ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร   เป็นพระสูตรปริศนา  ผู้ไม่เข้าถึงธรรม  ยังติดยึดในเรื่องทางโลกอยู่ เขาย่อมยึดติดสิ่งทางโลกอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่  เขาจึงไม่สามารถปล่อยวางทุกสิ่งในโลกลงเมื่อปล่อยวางไม่ได้ เขาย่อมตีความพระสูตรบทนี้ไม่ถูก

เช่น ถ้าเขายังห่วงร่างกาย ห่วงทรัพย์สินเงินทอง ห่วงคนรัก ฯลฯ  เขาย่อมไม่มีทางเห็นว่าทุกสิ่งในโลกเป็นของปลอม  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งมายา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความว่าง ที่จิตและกรรมของเขา+จิตและกรรมของคนอื่นสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา

เมื่อเขาสามารถปล่อยวางและไม่ห่วงร่างกาย ไม่ห่วงทรัพย์สินเงินทอง ไม่ห่วงคนรัก ฯลฯ   เขาย่อมเล็งเห็นในเบื้องต้นแล้วว่า  ทุกสิ่งในโลกเป็นของปลอม เป็นสิ่งมายา เป็นความว่าง ที่จิตและกรรมของเขา+จิตและกรรมของคนอื่นสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา

เมื่อเป็นดังนี้..... จิตของเขาจะว่างลง  เมื่อจิตของเขาจะว่างลง  และถ้าว่างได้เสมอ และตลอดช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่  เขาจะไม่อยากไขว้คว้าสิ่งใดๆในโลกไว้อีกเลย นั่นคือ จิตของเขาจะไปพ้นจากฝั่งโลกอันเป็นมายาอย่างสิ้นเชิง  ที่ของจริงไม่มีเลย เนื่องจากเขารู้แล้วว่า ทุกอย่างในฝั่งโลกมันมี และไม่ว่างเพราะเขามีกิเลสตัณหา มีความโลภ ความโกรธ ความหลงนั่นเอง


เมื่อเขารู้แล้วว่า  โลกของเขามีอยู่ และไม่ว่าง เพราะเขาดันมีกิเลสตัณหา มีความโลภ ความโกรธ ความหลง  แต่เมื่อเขาไม่มีกิเลสตัณหา ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลงแล้ว จิต(สังขาร)ทีเป็นตัวทำให้เกิดกาย หรือขันธ์ 5 ของเขา อันได้แก่รูป  เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็จะสลายหรือดับไป...เมื่อเขาตายลง.....นี่เป็นความสูญ ที่เป็นอนัตตา เป็นความว่างอันดับที่ มหายานเรียกความสูญ ที่เป็นอนัตตา เป็นความว่างอันดับที่ 1 นี้ว่า "สูญญตา หรือศูนยตา"  และเรียกผู้เข้าถึงความว่างระดับสูญญตา หรือศูนยตาว่า  
"บุคคลศูนยตา" หรือพระอรหันต์  

มัจจุราชหรืออวิชชา ซึ่งเป็นผู้ดูแลจิต(สังขาร) หรือวิญญาณธาตุ(กายทิพย์, อทิสมานกาย) จึงหาเขาไม่เจอ  เพราะจิต(สังขาร) หรือวิญญาณธาตุ(กายทิพย์, อทิสมานกาย)สลายหรือหายไปแล้ว  หาไม่เจออีกแล้วใน 3 ภพนี้

แต่ปรัชญาปารมิตาชี้ด้วยว่า มันมีสองสูญ นะไมใช่หนึ่งสูญ

0 comments:

แสดงความคิดเห็น