A A

15 สิงหาคม 2558

ขยายความเรื่อง time machine ของพระอินทร์ + กายย้อนเวลาไปอดีตไม่ได้ ทางที่จะเอากายเข้าไปในอดีต ‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏

มี 2 คำถามที่ถามผมเรื่องการข้ามเวลา และ time machineของ พระอินทร์ คือ 1.พระพุทธเจ้าตรัสไว้ที่ใด  2. ถ้าจิตย้อนเวลาไปอดีตได้ กายย้อนเวลาไปอดีตไม่ได้ แล้วมีทางไหมที่เราจะเอากายเข้าไปในอดีต

ตอบ

เวลามันเป็นสัมพันธภาพ  เรื่องพวกนี้มีแต่อัจฉริยะเท่านั้นถึงจะไปคิดถึง คนธรรมดาสามัญถ้าไปคิด ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว  เรื่องเวลาไม่ใช่เรื่องง่ายๆแบบที่คุณเข้าใจนะครับ


1.  พระพุทธเจ้า เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร  ตรัสพระธรรมเทศนาเรื่อง time machine ของพระอินทร์ไว้ในอลัมพุสาชาดก  ว่าด้วยอิสิสิงคดาบสถูกทำลายตบะ  ตอนที่เกี่ยวกับ time machine ของพระอินทร์ คือ ตอนนี้

พระอินทร์พูดกับนางอัปสรว่า  พระดาบสนี้ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวัตร และประพฤติพรหมจรรย์ อนึ่ง พระดาบสนั้นแลยินดียิ่งแล้ว ในมรรคคือพระนิพพาน และเจริญแล้วด้วยคุณวุฒิ เพราะความเป็นผู้มีอายุยืน เจ้าจงทำโดยประการที่ดาบสนั้นจะมาในที่นี้ เพื่อเป็นท้าวสักกเทวราชแทนเราไม่ได้  เจ้าจงห้ามมรรคของเธอเสีย.

มาในที่นี้ = ล่อให้ฤๅษีเข้ามาในtime machine ของพระอินทร์ 

พออลัมพุสาเทพอัปสรล่อให้ตบะของฤๅษีแตก โดยล่อลวงปลุกกามฤๅษีสำเร็จ  นางอัปสรก็มีจิตประหวัดถึงพระอินทร์ผู้ประทับอยู่ในนันทนวัน  อย่างนี้ว่า โอ! ท้าวสักกะควรส่งบัลลังก์(บุษบก หรือ จานบินที่มีเครื่องมือเวลา)มา พระอินทร์เลยส่งบัลลังก์ทอง หรือ บุษบก หรือ จานบินที่มีเครื่องมือเวลา
.....................

ท้าวมฆวานเทพกุญชรทรงทราบความดำริของนางแล้วจึงทรงส่งบัลลังก์ทอง พร้อมทั้งเครื่องบริวารมาโดยพลัน.ทั้งผ้าปิดทรวง ๕๐ ผืน เครื่องลาด ๑,๐๐๐ ผืน นางอลัมพุสาเทพอัปสร กอดพระดาบสไว้แนบทรวงอกอยู่บนบัลลังก์นั้น.

นาง(อลัมพุสาเทพอัปสร) กอดพระอิสิสิงคดาบสให้นอนแนบอก นั่งอุ้มอยู่บนบัลลังก์นั้น สิ้นเวลา ๓ ปี โดยการนับเวลาแห่งมนุษย์ ประดุจครู่เดียว
จุดใหญ่ของเรื่องนี้ คือ ไม่มีใครกอดใครได้3 ปีหรอก  time machine ได้ตั้งเวลาในจานบินที่เดินไป 1 นาที ให้ = เวลาของโลกเดินไปข้างหน้า3 ปี เป็นต้น ดังนั้นเวลาข้างในtime machine จึงเดินไปแป๊ปเดียว  แต่เวลาในโลกมนุษย์กลับเดินไป 3 ปี 
- ฤๅษีพอตื่นจากภวังค์  ก็คิดได้นิดหน่อย จึงพูดว่า “ผู้ใดใครหนอ มาประเล้าประโลมจิตของเราด้วยการบำเรอในก่อน  ยังฌานอันเกิดพร้อมกับเดชของเรา” (แสดงชัดเลยว่า เรื่องการยั่วกามนี้ เกิดในภวังค์จิตหรือในฌานของฤๅษี เพราะคำว่า บำเรอในก่อน คือ บำเรอในใจก่อน)

เรื่องนี้ไม่มีใครในยุคพุทธกาล แม้ในยุคต่อๆมาสามารถตีความได้ โดยเฉพาะพวกพระที่นำเอาพุทธพจน์ในชาดกพระไตรปิฎกมาพิมพ์เผยแพร่ ก็ตีความเรื่องเวลาไม่ออก ดีว่าผมเป็นอัจฉริยะทางศาสนา  เข้าใกล้(น้องๆ)อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  ผมจึงตีความเรื่องนี้ได้ 


2.  ถ้าจิตย้อนเวลาไปอดีตได้ กายย้อนเวลาไปอดีตไม่ได้ แต่มันก็ยังมีทางที่เราจะเอากาย(รวมจิต)ของเราเข้าไปในอดีต เหมือนกัน  เพราะมันมีประตูมิติโลกมนุษย์ภพอดีต และโลกมนุษย์ภพอนาคตอยู่ 36 ประตูมิติเวลา  มนุษย์ต่างดาวที่เจริญที่สุดพบแล้ว(จำได้ว่า 8 ประตูมิติเวลา) 1 ในประตูมิติอยู่ในเบอร์มิวด้า อีก 1 ประตูมิติอยู่ในยุโรป  คุณต้องหาประตูมิติภพอดีต 10 ปีก่อนให้เจอ แล้วคุณต้องการเปลี่ยนอะไรในอนาคต ก็เข้าประตูมิติภพอดีต 10 ปีก่อนไป  แล้วไปเปลี่ยนอดีตซะ  อนาคตของคุณมันก็จะดีหรือเลวอย่างที่คุณต้องการ  แต่คุณอาจจะติดอยู่ในภพอดีตนั้นตลอดชีวิตก็ได้  กลับมาในอนาคตไม่ได้  ถ้าคุณหาประตูมิติเวลาภพอนาคตไม่เจอ
แล้วผมก็ยังไม่ทราบว่าตัวคุณในวัยเด็กเมื่อ 10 ปีก่อน ไปเจอตัวคุณคนปัจจุบันที่อยู่ในอีกภพ ในที่เดียวกัน  และภพเดียวกัน  จะเกิดอะไรขึ้นนะครับ  จักรวาลอาจจะระเบิดไปเลยก็ได้ ลองไปหานิยายวิทยาศาสตร์อ่านดู
.........................................................................................................

อลัมพุสาชาดก
 
ว่าด้วยอิสิสิงคดาบสถูกทำลายตบะ

พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
 
ใน อดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนคร พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ กาสิกรัฐ เจริญวัยแล้ว ถึงความสำเร็จในสรรพศิลปศาสตร์แล้วบวชเป็นฤๅษี มีมูลผลาผลในป่าเป็นอาหาร ยังอัตภาพให้เป็นไปในป่ากว้าง

ครั้งนั้น แม่เนื้อตัวหนึ่ง เคี้ยวกินหญ้าอันเจือด้วยน้ำเชื้อ ในสถานที่ปัสสาวะของพระดาบสนั้นแล้วดื่มน้ำ และด้วยเหตุเพียงเท่านี้เอง มันมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในพระดาบส จนตั้งครรภ์ นับแต่นั้นมาก็ไม่ยอมไปไหน เที่ยวอยู่ใกล้ ๆ อาศรมนั่นเอง พระมหาสัตว์กำหนดดูก็รู้เหตุนั้นทั่วถึง ต่อมาแม่เนื้อคลอดบุตรเป็นมนุษย์ พระมหาสัตว์จึงเลี้ยงทารกนั้นไว้ด้วยความรักใคร่ว่าเป็นบุตร ตั้งชื่อให้ว่า อิสิสิงคกุมาร

ในเวลาต่อมา พระมหาสัตว์จึงให้อิสิสิงคกุมารผู้รู้เดียงสาแล้วบวช ในเวลาตนชราลงได้พาดาบสกุมารนั้นไปสู่นารีวัน กล่าวสอนว่า ลูกรัก ขึ้นชื่อว่าสตรีเช่นกับดอกไม้เหล่านี้ มีอยู่ในป่าหิมพานต์นี้ สตรีเหล่านั้นย่อมยังชนผู้ตกอยู่ในอำนาจตน ให้ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวงได้ ไม่ควรที่เจ้าจะไปสู่อำนาจของสตรี เหล่านั้นดังนี้
ครั้นในเวลาต่อมา ท่านก็ทำกาลกิริยาไปบังเกิดเป็นในพรหมโลก ฝ่ายอิสิสิงคดาบส เมื่อประลองฌานกีฬาก็พักอยู่ในหิมวันตประเทศ ได้เป็นผู้มีตบะกล้า

ครั้งนั้น พิภพของท้าวสักกเทวราชหวั่นไหว ด้วยเดชแห่งศีลของพระดาบส ท้าวสักกเทวราชทรงใคร่ครวญดูก็ทราบเหตุนั้น ทรงพระดำริว่า พระดาบสนี้จะพึงทำเราให้พ้นจากความเป็นท้าวสักกะ เราจักต้องส่งนางอัปสรคนหนึ่งให้ไปทำลายศีลของเธอ ดังนี้แล้ว ทรงพิจารณาเทวโลกทั้งสิ้น ในท่ามกลางเหล่าเทพบริจาริกาจำนวนสองโกฏิครึ่งของพระองค์ มิได้ทรงเห็นใครอื่นซึ่งสามารถที่จะทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสได้ นอกจากนางเทพอัปสรชื่ออลัมพุสาผู้เดียว จึงรับสั่งให้นางมาเฝ้าแล้วทรงบัญชาให้ทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสนั้น.โดย ตรัสว่า

ดูก่อนนางอลัมพุสา ผู้เจือปนด้วยกิเลส เจ้าเป็นผู้สามารถจะเล้าโลมฤๅษีได้ เทวดาชั้นดาวดึงส์พร้อมด้วยพระอินทร์ขอร้องเจ้า เจ้าจงไปหาอิสิสิงคดาบสเถิด.

พระดาบสนี้ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวัตร และประพฤติพรหมจรรย์ อนึ่ง พระดาบสนั้นแลยินดียิ่งแล้ว ในมรรคคือพระนิพพาน และเจริญแล้วด้วยคุณวุฒิ เพราะความเป็นผู้มีอายุยืน เจ้าจงทำโดยประการที่ดาบสนั้นจะมาในที่นี้เพื่อเป็นท้าวสักกเทวราชแทนเราไม่ได้ เจ้าจงห้ามมรรคของเธอเสีย.

นางอลัมพุสาเทพกัญญาได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า

ข้าแต่พระเทวราช พระองค์ทรงทำอะไร เหตุใดจึงทรงมุ่งหมายแต่หม่อมฉันเท่านั้น จึงรับสั่งว่า แนะเจ้าผู้อาจจะเล้าโลมฤๅษีได้ เจ้าจงไปเถิด ดังนี้ นางเทพอัปสรผู้ทัดเทียมหม่อมฉันหรือประเสริฐกว่าหม่อมฉัน ก็มีอยู่ในนันทนวัน การไปจงมีแก่นางเทพอัปสรเหล่านั้น แม้นางเทพอัปสรเหล่านั้น จงไปประเล้าประโลมเถิด
ในบรรดาบทเหล่านั้น ด้วยพระองค์ทรงกระทำสิ่งนี้ชื่ออะไรกัน ด้วยนางเทพธิดาผู้ยิ่งกว่าหม่อมฉัน ยังมีอยู่

ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชได้ตรัสว่า

เจ้าพูดจริงโดยแท้แล นางเทพอัปสรอื่นๆ ที่ทัดเทียมกับเจ้า แลยิ่งกว่าเจ้า มีอยู่ในนันทนวันอันหาความโศกมิได้.

ดูก่อนนางผู้มีอวัยวะงามทุกส่วน ก็แต่ว่า นางเทพอัปสรเหล่านั้น เมื่อไปถึงชายเข้าแล้ว ย่อมไม่รู้จักการบำเรออย่างที่เจ้ารู้.

ดูก่อนโฉมงาม เจ้านั่นแหละจงไป เพราะว่าเจ้าเป็นผู้ประเสริฐกว่าหญิงทั้งหลาย เจ้าจักนำดาบสนั้นมาสู่อำนาจได้ ด้วยผิวพรรณและรูปร่างของเจ้าเอง.

นางอลัมพุสาเทพกัญญาได้สดับดังนั้น ได้กล่าวว่าลา

หม่อมฉันอันท้าวเทวราชทรงใช้ จักไม่ไปหาได้ไม่ แต่หม่อมฉันกลัวที่จะเบียดเบียนพระดาบสนั้นเพราะท่านเป็นพราหมณ์ มีเดชฟุ้งเฟื่อง.

ชนทั้งหลายมิใช่น้อย เบียดเบียนพระฤๅษีแล้วต้องตกนรก ถึงสังสารวัฏเพราะความหลง เพราะเหตุนั้นหม่อมฉันจึงต้องขนลุกขนพอง.

นางอลัมพุสาเทพอัปสร ครั้นกราบทูลอย่างนี้แล้วก็ไปสู่อาศรมของอิสิสิงคดาบส อันดาดาษไปด้วยเถาตำลึงโดยรอบประมาณกึ่งโยชน์.ในเวลาเช้า ใกล้เวลาพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง

ขณะนั้น อิสิสิงคดาบสนั้น ซึ่งประกอบความเพียรในกลางคืนแล้ว สรงน้ำแต่เช้าตรู่ ทำอุทกกิจเสร็จแล้ว ยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุขในบรรณศาลาหน่อยหนึ่ง แล้วจึงออกมากวาดโรงไฟอยู่นางยืนแสดงความงามของหญิงอยู่ข้างหน้าของพระอิสิสิงคดาบสนั้น.

ลำดับนั้น พระดาบสเมื่อจะถามนางจึงกล่าวว่า

เธอเป็นใครหนอ มีรัศมีเหมือนสายฟ้า หรืองามดังดาวประกายพรึก มีเครื่องประดับแขนงามวิจิตรล้วนแก้วมุกดา แก้วมณี และกุณฑล.ประหนึ่งแสงอาทิตย์ มีกลิ่นจุรณจันทน์ ผิวพรรณดุจทองคำ ลำขางามดี มีมารยาทมากมาย กำลังแรกรุ่นสะคราญโฉม น่าดูน่าชม.เท้าของเธอไม่เว้ากลาง เมื่อเหยียบต้องแผ่น ดิน ก็เรียบเสมอ อ่อนละมุน แสนสะอาดตั้งลงด้วยดี การเยื้องกายของเธอน่ารักใคร่ ทำใจของเราให้วาบหวามได้ทีเดียว.

อนึ่ง ลำขาของเธอเรียวงาม เปรียบเสมอด้วยงวงช้าง โดยลำดับ ตะโพกของเธอผึ่งผาย เกลี้ยงเกลาดังแผ่นทองคำ.

นาภีของเธอตั้งลงเป็นอย่างดี เหมือนฝักดอกอุบล ย่อมปรากฏแต่ที่ไกล คล้ายเกสรดอกอัญชันเขียว.

ถันทั้งคู่เกิดที่ทรวงอก ทรงไว้ซึ่งขีรรส ไม่หดเหี่ยว เต่งตึงทั้งสองข้าง เสมอด้วยน้ำเต้าครึ่งซีก.

คอของเธอประดุจเนื้อทราย เรียบงามดุจพื้นสุวรรณเภรี มีริมฝีปากเรียบงดงาม เป็นที่ตั้งแห่งมนะที่ ๔ คือ ชิวหา.

ฟันของเธอทั้งข้างบน ข้างล่าง ขัดสีแล้วด้วยไม้ชำระฟัน เกิดสองคราวเป็นของหาโทษมิได้ ดูงามดี.นัยน์ตาทั้งสองข้างของเธอดำขลับ มีสีแดงเป็นที่สุด สีดังเม็ดมะกล่ำ ทั้งยาวทั้งกว้าง ดูงามนัก.

ผมที่งอกบนศีรษะ ของเธอไม่ยาวนักเกลี้ยงเกลาดี หวีด้วยหวีทองคำ มีกลิ่นหอมฟุ้งด้วยกลิ่นจันทน์.ในบรรดาผู้ทำกสิกรรม และเลี้ยงสัตว์ พ่อค้า และหมู่ฤๅษีทั้งหลาย ผู้สำรวมดีด้วยตบะ มีประมาณเท่าใด เราไม่เห็นบุคคลใดในปฐพีมณฑลนี้ จะเสมอเหมือนกับเธอ เธอเป็นใครหรือเป็นบุตรของใคร เราจะรู้จักเธอได้อย่างไร?

เมื่อพระดาบสกล่าวชมตน ตั้งแต่เท้าจนถึงผมอย่างนี้ นางอลัมพุสาเทพกัญญานั้นก็นิ่งเสีย เมื่อนางพิจารณาตามลำดับของคำนั้นแล้วก็รู้ว่า พระดาบสนั้นเป็นผู้หลงใหลในความงามของตน จึงกล่าวว่า

ดูก่อนท่านกัสสปะผู้เจริญ เมื่อจิตของท่านเป็นอย่างนี้แล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา มาเถิดท่านที่รัก เราทั้งสองจักรื่นรมย์กัน ในอาสนะของเรา มาเถิดท่าน ฉันจักเคล้าคลึงท่าน ท่านจงเป็นผู้ฉลาดในกระบวนความยินดีด้วยกามคุณ.

นางอลัมพุสาเทพกัญญา กล่าวอย่างนี้แล้วก็คิดว่า เมื่อเรายืนเฉยอยู่อย่างนี้ พระดาบสนี้ ก็จักไม่ยอมเข้าอ้อมแขนเรา เราจักเดิน ทำท่าทีเหมือนจะไปเสีย นางจึงเข้าไปหาพระดาบส เพราะตนเป็นผู้ฉลาดในมารยาหญิง จึงเดินบ่ายหน้ากลับไปตามทางที่มาแล้ว.

ลำดับนั้น พระดาบสเห็นดังนั้นก็คิดว่านางจะไปเสีย จึงสลัดความเฉื่อยชา ล่าช้าของตนเสียแล้ว วิ่งไปโดยเร็ว เมื่อมาทันนางแล้วก็เอามือลูบคลำที่เรือนผมของนาง.
นางเทพอัปสร ผู้สะคราญโฉม ก็หมุนตัวกลับมาสวมกอดพระดาบสไว้ ทันใดนั้นเอง ฌานของอิสิสิงคดาบสก็อันตรธานไป ดาบสก็เคลื่อนจากพรหมจรรย์ ตามที่ท้าวสักกเทวราชทรงปรารถนา

ลำดับนั้น เมื่อนางเทพกัญญารู้ว่าความปรารถนาของท้าวสักกเทวราชสำเร็จแล้ว ก็เกิดปีติปราโมทย์ นางก็มีจิตประหวัดถึงพระอินทร์ผู้ประทับอยู่ในนันทนวัน อย่างนี้ว่า โอ! ท้าวสักกะควรส่งบัลลังก์มา

ท้าวมฆวานเทพกุญชรทรงทราบความดำริของนางแล้วจึงทรงส่งบัลลังก์ทอง พร้อมทั้งเครื่องบริวารมาโดยพลัน.ทั้งผ้าปิดทรวง ๕๐ ผืน เครื่องลาด ๑,๐๐๐ ผืน นางอลัมพุสาเทพอัปสร กอดพระดาบสไว้แนบทรวงอกอยู่บนบัลลังก์นั้น.

นางกอดพระอิสิสิงคดาบสให้นอนแนบอก นั่งอุ้มอยู่บนบัลลังก์นั้น สิ้นเวลา ๓ ปี โดยการนับเวลาแห่งมนุษย์ ประดุจครู่เดียว

เมื่อพราหมณ์ดาบสได้สมปฤดีตื่นขึ้น เวลาก็ล่วงไป ๓ ปีแล้ว.ขณะ ที่พระดาบสกำลังจะตื่นขึ้น นางอลัมพุสาเห็นอาการกระดิกมือเป็นต้นแล้ว ทราบว่าพระดาบสกำลังจะตื่นขึ้น จึงบันดาลให้บัลลังก์อันตรธานไป แม้ตนเองก็ได้อันตรธานไปยืนซ่อนอยู่.

พระดาบสนั้นตรวจตราดูอาศรมแล้ว คิดว่า ใครกันหนอ ทำให้เราถึงศีลวิบัติ แล้วปริเทวนาการด้วยเสียงอันดัง เธอได้มองไปโดยรอบ ได้เห็นหมู่ไม้เขียวชอุ่มโดยรอบเรือนไฟ ผลัดใบใหม่ดอกบาน อึงคะนึงด้วยเสียงแห่งนกดุเหว่าแล้ว ร้องไห้น้ำตาไหลรินปริเทวนาการว่า เรามิได้บูชาไฟ มิได้ร่ายมนต์ อะไรบันดาลให้การบูชาไฟต้องเสื่อมลง.

ผู้ใดใครหนอ มาประเล้าประโลมจิตของเราด้วยการบำเรอในก่อน ยังฌานอันเกิดพร้อมกับเดชของเรา (เรื่องการยั่วกามนี้ เกิดในภวังค์จิตหรือในฌานของฤๅษี) ผู้อยู่ในป่าให้พินาศ ดุจบุคคลยึดเรืออันเต็มด้วยรัตนะต่าง ๆ ในห้วงอรรณพ ฉะนั้น.

อลัมพุสาเทพกัญญาได้ยินดังนั้นก็คิดว่า ถ้าเราไม่บอก ดาบสนี้จักสาปแช่งเรา เอาเถอะเราจักบอกให้ท่านทราบ จึงยืนปรากฏกายกล่าวว่า

ท้าวเทวราชทรงใช้ดิฉันมาเพื่อบำเรอท่าน ทำฌานของท่านให้เสื่อม เคลื่อนจากพรหมจรรย์ จึงได้ครอบงำจิตของท่านด้วยจิตของดิฉัน ท่านไม่รู้สึกตัว เพราะประมาท.

พระอิสิสิงคดาบสได้ฟังถ้อยคำของนางแล้ว ระลึกถึงโอวาทที่บิดาให้ไว้ ก็ปริเทวนาการว่า เพราะเรามิได้ทำตามคำบิดา จึงถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง ดังนี้แล้ว ได้กล่าวว่า

เดิมที ท่านกัสสปะผู้บิดา ได้พร่ำสอนเราถึงสิ่งเหล่านี้ว่า ดูก่อนมาณพ สตรีอันเสมอด้วยนารีผลมีอยู่ เจ้าจงรู้จักสตรีเหล่านั้น.ดูก่อนมาณพ เจ้าควรรู้ว่า หญิงเหล่านั้น ย่อมยังผู้ตกอยู่ในอำนาจตนให้พินาศ.

เรามิได้ทำตามคำสอนของบิดาผู้รู้นั้น วันนี้เราซบเซา ปริเทวนาการอยู่แต่ผู้เดียว ในป่าอันหามนุษย์มิได้.เราจักเป็นเช่นเดิมอีก คือจักยังฌานที่เสื่อมแล้วให้เกิดขึ้น เป็นผู้ปราศจากราคะ ด้วยประการใด จักกระทำด้วยประการนั้นหรือ หรือว่าเราจักตายเสีย.ชีวิตของเราน่าตำหนิติเตียน ประโยชน์อะไรด้วยการที่เราจะมีชีวิตอยู่

ท่านอิสิสิงคดาบสนั้น เมื่อละกามราคะแล้วก็ยังฌานให้เกิดได้อีก ลำดับนั้น นางอลัมพุสาเทพกัญญา เห็นเดชแห่งสมณะของพระดาบสนั้นด้วย และรู้ว่าท่านบำเพ็ญฌานให้เกิดได้แล้วด้วย ก็ตกใจกลัว ก็ซบศีรษะลงที่เท้าของพระอิสิสิงคดาบสแล้วจึงขอให้ท่านอดโทษตน.โดยกล่าวว่า

ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านอย่าได้โกรธดิฉันเลย ข้าแต่ท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ขอท่านอย่าได้โกรธดิฉันเลย ดิฉันได้บำเพ็ญประโยชน์อันใหญ่แล้วเพื่อเทวดาชั้นไตรทศผู้มียศ เพราะว่า ในคราวนั้น ท่านได้ทำให้เทพบุรีทั้งหมดหวั่นไหวแล้วด้วยเดชแห่งศีลของท่าน

ลำดับนั้น พระอิสิสิงคดาบสตอบว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เราอดโทษให้เธอ เธอจงไปตามสบายเถิด เมื่อจะปล่อยนางไป จึงกล่าวว่า

ดูก่อนนางผู้เจริญ ขอทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ท้าววาสวะจอมไตรทศและเธอจงมีความสุขเถิด ดูก่อนนางเทพกัญญา เชิญเธอไปตามสบายเถิด.

นางอลัมพุสาเทพกัญญา ซบศีรษะลงแทบเท้าแห่งอิสิสิงคดาบส และทำประทักษิณแล้ว ประคองอัญชลีหลีกออกไปจากที่นั้น.นางขึ้นสู่บัลลังก์ทอง พร้อมด้วยเครื่องบริวารเครื่องปิดทรวง ๕๐ ผืน และเครื่องลาด ๑,๐๐๐ ผืนแล้วกลับไปในสำนักแห่งเทวดาทั้งหลาย.

ท้าวสักกเทวราชทรงยินดี ได้ประทานพรให้แก่นาง อลัมพุสาเทพกัญญา ผู้มาถวายบังคมแล้วยืนอยู่.นางอลัมพุสาเทพกัญญา เมื่อจะรับพรในสำนักของท้าวสักกเทวราช จึงกล่าวว่า

ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าภูตทั้งปวง ถ้าพระองค์จะทรงประทานพรแก่หม่อมฉันไซร้ ขออย่าให้หม่อมฉันต้องไปเล้าโลมพระฤๅษีอีกเลย ข้าแต่ท้าวสักกะหม่อมฉันขอพรข้อนี้.

พระศาสดาทรงนำพระธรรม เทศนานี้ มาแสดงแก่ภิกษุนั้นแล้ว ทรงประกาศอริยสัจจธรรม ในที่สุดแห่งอริยสัจจกถา ภิกษุนั้น ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า นางอลัมพุสา ในครั้งนั้น ได้มาเป็นนางปุราณทุติยิกา อิสิสิงคดาบส ได้มาเป็นภิกษุผู้กระสัน ส่วนมหาฤๅษีผู้บิดา ได้มาเป็นเราผู้ตถาคตฉะนี้แล.

จบอลัมพุสาชาดก

อลัมพุสาชาดกท่อนสุดท้ายกล่าวว่า....  พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้  มาแสดงแก่ภิกษุนั้นแล้ว  ทรงประกาศอริยสัจจธรรม ในที่สุดแห่งอริยสัจจกถา  ภิกษุนั้น ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า นางอลัมพุสา ในครั้งนั้น(ได้มาเกิดในพุทธกาล)เป็นนางปุราณทุติยิกา อิสิสิงคดาบส ได้มาเป็นภิกษุผู้กระสัน ส่วนมหาฤๅษีผู้บิดา ได้มาเป็นเราผู้ตถาคตฉะนี้แล.  ผมขออธิบายเพิ่มดังนี้

อลัมพุสาชาดก  เป็นเรื่องของอดีตชาติของโคตมพระพุทธเจ้าของเรา  พระพุทธเจ้าตรัสว่ามหาฤๅษีผู้บิดา กลับมาเกิดในชาติสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้า  ส่วนนางอัปสร นางอลัมพุสา ในครั้งนั้น ได้เกิดมาเป็นนางปุราณทุติยิกา  นางปุราณทุติยิกา เป็นต้นเหตุให้พระพุทธเจ้า บัญญัติสิกขาบทว่า  
                
   “ภิกษุใดเสพเมถุนธรรม เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้

เพราะมีภิกษุชื่อพระสุทินน์ไปเสพเมถุนกับนางปุราณทุติยิกา 3 ครั้ง เพื่อให้เกิดบุตร เป็นการตอบแทนพระคุณแม่  เพราะ....

ครั้งสุดท้ายโยมแม่ของพระสุทินน์ ชวนให้ลูกสึกอีกสามครั้ง สองครั้งแรกไม่เวิร์คเพราะชวนไปเสพสุขจากทรัพย์ศฤงคาร แต่คราวสุดท้ายใช้ท่าไม้ตาย คือขอลูกสืบสกุล พระสุทินน์เห็นว่า  พระพุทธเจ้าไม่มีข้อห้ามและยังเป็นโอกาสตอบแทนบุพการี  ไหนๆก็อุตส่าห์พานางปุราณทุติยิกาเข้าป่ามาหาตนแล้ว  พระสุทินน์เลยรับคำแม่  ยอมเสพกับเมถุนกับนางปุราณทุติยิกาสามครั้ง จนนางตั้งครรภ์  พระพุทธเจ้า จึงประชุมสงฆ์  และทรงบัญญัติสิกขาบทเรื่องการเสพเมถุนของพระ เป็นปาราชิก

0 comments:

แสดงความคิดเห็น