ธรรมหรือธรรมะคือ
... ความจริง... ผู้เข้าใจธรรมะ คือผู้รู้ความจริงว่า ธรรมะ
มีทั้งระดับโลก(โลกียะ) และระดับเหนือโลก(โลกุตตระธรรม) และมีเพียง 2 สิ่งเท่านั้นที่เป็นความจริงในทุกระดับ
สิ่งนั้น คือ นาม(ธรรม) และรูป(ธรรม) ถ้าเรียกเป็นภาษาสมัยใหม่
นาม+รูป = พลังงาน+สสาร
รูป หมายถึง สภาพที่ไม่รู้อารมณ์ และพร้อมแตกดับเสื่อมสลายไปเป็นสิ่งอื่นได้
นาม หมายถึง สภาพรู้ ธาตุรู้ อาการรู้ เช่น ความรู้สึกต่างๆ ความคิดนึกรู้ต่างๆ
สภาพรู้ หรือ ธาตุรู้ นั้น มันส่งความรู้ไปไหน ก็ไปที่จิต แต่ระดับของจิตก็สามารถเข้าถึงความรู้ได้ไม่เท่ากัน จิตที่เข้าถึงความรู้ระดับความสุขอย่างยิ่งยวดถาวรได้ คือ จิตของผู้ละกิเลสตัณหาออกได้ทั้งหมด ส่วนจิตสังขารของมนุษย์ทั่วไป ไม่สามารถเข้าถึงความรู้ระดับความสุขอย่างยิ่งยวดถาวรได้
มาเข้าใจนามรูป (นาม + รูป) ให้กระจ่างได้แล้ว
เมื่อรูป หมายถึง สภาพที่ไม่รู้อะไร รูปจึงไม่มีความรู้สึก รูปจึงไม่เจ็บ รูปจึงไม่ทุกข์ ความรู้สึกและความทุกข์สุขนั้นอยู่ที่ตัว...นาม เพราะนามเป็น ธาตุรู้ นั่นเอง
เมื่อนามรูป (นาม + รูป)ของมนุษย์ แตกสลายไป มันไม่ได้แตกสลายไปจริงๆ แต่มันเปลี่ยนสภาพนามรูปเดิม กลายเป็นนามรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า "นามกาย" หรือ กายของเปรต กายของเทวดา กายของพรหม และกายของผู้ที่อยู่ในปรโลก(โลกวิญญาณ)
พูดง่ายๆ ไม่มีใครตายจริงสักรายเดียว มีแต่เปลี่ยนสภาพจาก(นาม + รูป)ของมนุษย์ไปเป็น(นาม + รูป)ของภพภูมิอื่นๆ เพราะอะไรรู้ไหมครับ?? เพราะนามรูปคือ พลังงานและสสาร แล้ว พลังงานและสสารย่อมไม่มีวันสูญสลายไปได้ มีแต่เปลี่ยนกลับไปกลับมา หรือเปลี่ยนสภาพเป็นอย่างอื่นได้เท่านั้นเอง
พลังงานและสสาร คือ นาม+รูป นอกจากจะวนเวียนอยู่ในโลกและจักรวาล หรือ ในสังสารวัฏแล้ว พลังงานและสสาร(นาม+รูป)ก็สามารถเปลี่ยนไปอยู่ในที่เหนือโลก คือ เมืองนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)ได้ด้วย พระพุทธเจ้าของเราจึงแยกว่า มันมีฝั่งโน้น และฝังนี้
ฝั่งโน้น และฝังนี้
ดูก่อนพราหมณ์ มิจฉาทิฎฐิเป็นฝั่งนี้ สัมมาทิฎฐิเป็นฝั่งโน้น ....... ฝั่งที่พวกเราอยู่คือ โลกมนุษย์และภพภูมิอื่นๆ ซึ่งเป็นฝั่งมิจฉาทิฎฐิ คือ ฝั่งนี้ ส่วนฝั่งเมืองนิพพาน(สวรรค์นิรันดร) คือ ฝั่งโน้น ซึ่งเป็นฝั่งของผู้มีสัมมาทิฎฐิเขาอยู่กัน
ฝั่งโน้น = ฝั่งที่เกษม เป็นฝั่งที่ปลอดภัยจากกิเลสและความทุกข์ทั้งปวง
ฝั่งนี้ = ฝั่งสังสารวัฏ
ดูก่อนพราหมณ์ นี้แลเป็นฝั่งนี้ นี้เป็นฝั่งโน้น.... ในหมู่มนุษย์ เหล่าชนผู้ไปถึงฝั่งโน้นมีประมาณน้อย ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้เลาะไปตามฝั่งทั้งนั้น ส่วนชนเหล่าใดประพฤติตามธรรมในธรรม อันพระตถาคตตรัสแล้วโดยชอบ ชนเหล่านั้นจักข้ามพ้นวัฏฏะ อันเป็นบ่วงมารที่ข้ามพ้นได้แสนยาก แล้วจักถึงฝั่งโน้น คือ นิพพาน
ฝั่งโน้น คือ นิพพาน หรือเมืองนิพพาน เป็นฝั่งที่นามรูป (นาม + รูป) ในสังสารวัฏ กลายสภาพเป็นนามรูป (นาม + รูป) ในเมืองนิพพาน แล้วพระพุทธเจ้าของเราก็เปลี่ยนชื่อเรียกนามรูป (นาม + รูป) ในเมืองนิพพานใหม่ว่า "ธรรมกาย" = ธรรม+กาย หรือ อายตนะนิพพาน
ธรรม = นาม แต่เป็นนามที่มหาบริสุทธิ์ ผิดกับนามของโลก(โลกียะ) ซึ่งเป็นนาม ที่ไม่บริสุทธิ์ ถูกมารหรืออวิชชาครอบงำอยู่
ส่วนกายก็คือรูปเฉยๆ
สรุป และ เพิ่มเติม
นามรูป (นาม+รูป) มี 3 ส่วน
1. นามรูป ของมนุษย์ คือ ขันธ์ 5
2. นามรูป ของเปรต เทวดา พรหม ในปรโลก
3. นามรูป ของผู้ที่ในเมืองนิพพานที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังสารวัฏ = ธรรมกาย
4. นามรูป ของผู้ที่ในเมืองนิพพานที่ยุ่งเกี่ยวกับสังสารวัฏ = กายทิพย์สัมโภคกาย หรือพระโพธิสัตว์อรหันต์ เช่น เจ้าแม่กวนอิม
5. นามรูป ของผู้ที่ไม่ต้องการใช้รูปอีกแล้ว อยู่เป็นจิตเฉยๆที่ไมมีรูป เป็นอรูปจิต หรือ เป็นตัว "ธรรม" อย่างเดียว ไม่มีกายธรรม เรียกว่า"ปรินิพพาน"
รูป หมายถึง สภาพที่ไม่รู้อารมณ์ และพร้อมแตกดับเสื่อมสลายไปเป็นสิ่งอื่นได้
นาม หมายถึง สภาพรู้ ธาตุรู้ อาการรู้ เช่น ความรู้สึกต่างๆ ความคิดนึกรู้ต่างๆ
สภาพรู้ หรือ ธาตุรู้ นั้น มันส่งความรู้ไปไหน ก็ไปที่จิต แต่ระดับของจิตก็สามารถเข้าถึงความรู้ได้ไม่เท่ากัน จิตที่เข้าถึงความรู้ระดับความสุขอย่างยิ่งยวดถาวรได้ คือ จิตของผู้ละกิเลสตัณหาออกได้ทั้งหมด ส่วนจิตสังขารของมนุษย์ทั่วไป ไม่สามารถเข้าถึงความรู้ระดับความสุขอย่างยิ่งยวดถาวรได้
มาเข้าใจนามรูป (นาม + รูป) ให้กระจ่างได้แล้ว
เมื่อรูป หมายถึง สภาพที่ไม่รู้อะไร รูปจึงไม่มีความรู้สึก รูปจึงไม่เจ็บ รูปจึงไม่ทุกข์ ความรู้สึกและความทุกข์สุขนั้นอยู่ที่ตัว...นาม เพราะนามเป็น ธาตุรู้ นั่นเอง
เมื่อนามรูป (นาม + รูป)ของมนุษย์ แตกสลายไป มันไม่ได้แตกสลายไปจริงๆ แต่มันเปลี่ยนสภาพนามรูปเดิม กลายเป็นนามรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า "นามกาย" หรือ กายของเปรต กายของเทวดา กายของพรหม และกายของผู้ที่อยู่ในปรโลก(โลกวิญญาณ)
พูดง่ายๆ ไม่มีใครตายจริงสักรายเดียว มีแต่เปลี่ยนสภาพจาก(นาม + รูป)ของมนุษย์ไปเป็น(นาม + รูป)ของภพภูมิอื่นๆ เพราะอะไรรู้ไหมครับ?? เพราะนามรูปคือ พลังงานและสสาร แล้ว พลังงานและสสารย่อมไม่มีวันสูญสลายไปได้ มีแต่เปลี่ยนกลับไปกลับมา หรือเปลี่ยนสภาพเป็นอย่างอื่นได้เท่านั้นเอง
พลังงานและสสาร คือ นาม+รูป นอกจากจะวนเวียนอยู่ในโลกและจักรวาล หรือ ในสังสารวัฏแล้ว พลังงานและสสาร(นาม+รูป)ก็สามารถเปลี่ยนไปอยู่ในที่เหนือโลก คือ เมืองนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)ได้ด้วย พระพุทธเจ้าของเราจึงแยกว่า มันมีฝั่งโน้น และฝังนี้
ฝั่งโน้น และฝังนี้
ดูก่อนพราหมณ์ มิจฉาทิฎฐิเป็นฝั่งนี้ สัมมาทิฎฐิเป็นฝั่งโน้น ....... ฝั่งที่พวกเราอยู่คือ โลกมนุษย์และภพภูมิอื่นๆ ซึ่งเป็นฝั่งมิจฉาทิฎฐิ คือ ฝั่งนี้ ส่วนฝั่งเมืองนิพพาน(สวรรค์นิรันดร) คือ ฝั่งโน้น ซึ่งเป็นฝั่งของผู้มีสัมมาทิฎฐิเขาอยู่กัน
ฝั่งโน้น = ฝั่งที่เกษม เป็นฝั่งที่ปลอดภัยจากกิเลสและความทุกข์ทั้งปวง
ฝั่งนี้ = ฝั่งสังสารวัฏ
ดูก่อนพราหมณ์ นี้แลเป็นฝั่งนี้ นี้เป็นฝั่งโน้น.... ในหมู่มนุษย์ เหล่าชนผู้ไปถึงฝั่งโน้นมีประมาณน้อย ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้เลาะไปตามฝั่งทั้งนั้น ส่วนชนเหล่าใดประพฤติตามธรรมในธรรม อันพระตถาคตตรัสแล้วโดยชอบ ชนเหล่านั้นจักข้ามพ้นวัฏฏะ อันเป็นบ่วงมารที่ข้ามพ้นได้แสนยาก แล้วจักถึงฝั่งโน้น คือ นิพพาน
ฝั่งโน้น คือ นิพพาน หรือเมืองนิพพาน เป็นฝั่งที่นามรูป (นาม + รูป) ในสังสารวัฏ กลายสภาพเป็นนามรูป (นาม + รูป) ในเมืองนิพพาน แล้วพระพุทธเจ้าของเราก็เปลี่ยนชื่อเรียกนามรูป (นาม + รูป) ในเมืองนิพพานใหม่ว่า "ธรรมกาย" = ธรรม+กาย หรือ อายตนะนิพพาน
ธรรม = นาม แต่เป็นนามที่มหาบริสุทธิ์ ผิดกับนามของโลก(โลกียะ) ซึ่งเป็นนาม ที่ไม่บริสุทธิ์ ถูกมารหรืออวิชชาครอบงำอยู่
ส่วนกายก็คือรูปเฉยๆ
สรุป และ เพิ่มเติม
นามรูป (นาม+รูป) มี 3 ส่วน
1. นามรูป ของมนุษย์ คือ ขันธ์ 5
2. นามรูป ของเปรต เทวดา พรหม ในปรโลก
3. นามรูป ของผู้ที่ในเมืองนิพพานที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังสารวัฏ = ธรรมกาย
4. นามรูป ของผู้ที่ในเมืองนิพพานที่ยุ่งเกี่ยวกับสังสารวัฏ = กายทิพย์สัมโภคกาย หรือพระโพธิสัตว์อรหันต์ เช่น เจ้าแม่กวนอิม
5. นามรูป ของผู้ที่ไม่ต้องการใช้รูปอีกแล้ว อยู่เป็นจิตเฉยๆที่ไมมีรูป เป็นอรูปจิต หรือ เป็นตัว "ธรรม" อย่างเดียว ไม่มีกายธรรม เรียกว่า"ปรินิพพาน"
0 comments:
แสดงความคิดเห็น