ความจริงผมตั้งใจจะเข้ามาตอบเรื่อง.. มารในพระพุทธศาสนา หมายถึง
สิ่งที่มารบกวนขัดขวางมิให้บรรลุถึงสิ่งที่ดีงาม มี ๕ ประการ ได้แก่
(๑) กิเลสมาร มารคือกิเลสที่เกิดกับใจ
(๒) ขันธมาร มารคือขันธ์ ๕ อันเป็นองค์ประกอบของชีวิต ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งองค์ประกอบทั้งห้านี้ มีความแปรปรวนและเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติ
(๓) อภิสังขารมาร มารคือความนึกคิดปรุงแต่งที่คิดไปในทางลบ
(๔) เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร ซึ่งอาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้นกามาวจร คอยขัดขวางการทำความดีของผู้อื่น และ
(๕) มัจจุมาร มารคือความตาย ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางโอกาสที่จะได้พบกับสิ่งที่ดีงาม
และเรื่อง..
เราพูดกันว่า มารคือกิเลส ตัณหา อุปาทาน
เราพูดกันว่า มารคืออวิชชา มารคือทุกข์และสมุทัย
มารคือ กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุราชมาร อภิสังขารมาร
พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)
1. ขันธมาร
2. ธาตุมาร
3. อายตนะมาร
4. คติมาร
5. อุปบัติมาร
6. ปฏิสนธิมาร
7. ภวมาร
8. สังสารมาร
9. วัฏฏมาร
แต่คุณเจ้านายร่ายมายาวมาก ทั้งๆที่ผู้สอนคุณเป็นพระอาจารย์ยุคปัจจุบัน ที่บุญบารมียังไม่ถึงขึ้น ความรู้จริงก็ไม่มี มีแต่รู้งูๆปลาๆทั้งนั้น
แต่คุณเจ้านายดันทะลึ่งร่ายยาวไปไกลถึงขั้นครอบทุกภพภูมิไม่ยังพอ ดันพาไปครอบถึงเมืองพระนิพพานด้วย ที่ผู้มีอำนาจปกครองล้วนเป็นพระพุทธเจ้าภาคดำทั้งนั้น พระพุทธเจ้าภาคขาวส่วนใหญ่บารมีไม่ถึงภาคดำ
ผมว่าคุณไปพาอาจารย์ผู้สอนธรรมกายมาทุกสำนักเลย ผมจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด จะได้เลิกมั่วกันเรื่องใหญ่ๆเหล่านี้
ผมขอเจาะประเด็นนิยามคำว่ามารก่อน ไม่งั้นคุยกันไม่รู้เรื่อง
มาร..โดยทั่วไปหมายถึง..ผู้ที่มาล่อหลอกเราให้ก่อกรรมทำอกุศลหรือบาป ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ
แต่พระพุทธเจ้าของเรา เพิ่มมารเข้าไปอีกตัวหนึ่ง คือ เพิ่มผู้ที่มาล่อหลอกเราให้ทำกุศลหรือบุญด้วย เพราะการทำบุญก็ทำให้พวกเราต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏเหมือนกัน การที่มนุษย์เราต้องทำบุญหรือไม่ก็ทำบาป แต่ทั้ง 2 ทาง ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้พวกเราไม่สามารถหลุดออกจากสังสารวัฏทั้งนั้น
แล้วพระพุทธองค์ก็จำแนกผู้ที่ทำหน้าที่เป็นมาร และทำให้พวกเราต้องวนเวียนในสังสารวัฏ คือ 1.กิเลสมาร 2.ขันธมาร 3.อภิสังขารมาร 4.เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร 5.มัจจุมาร
มารทั้ง 5 ชนิด ถ้าจะจำแนกแบบเจาะลึก ตามพระไตรปิฎก ขุ จูฬ 30/427/203 ก็จะมีมารเป็น 9 แบบ ดังที่กล่าวมาข้างต้น
ถ้าจะสรุปโดยยอดรวมจะเหลือมารอยู่อันเดียว มารตัวนั้น คือ ความคิดนึก ..... พวกเราเสือกคิดนึกไปเอง โดยพวกเราไม่รู้ว่า ตัวเราเองคือพระเจ้า หรือ พุทธะ และพระพุทธเจ้า พวกเราอยู่ในความว่างของจักรวาล พวกเราเป็นผู้ควบคุม เป็นผู้สร้างสรรค์จักรวาล โลก สวรรค์นรก และเมืองนิพพาน ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดจากพวกเราคิดนึกให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น
ถ้าพวกเรายังมีความคิดนึกอยู่ มารก็ยังไม่ไปไหน ไม่ว่าเราจะตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ หรือเกิดมาเป็นขอทาน หรือร่ำรวย สุขภาพเป็นอย่างไร เพราะเราให้มารเป็นผู้คุมเรา จัดการทุกอย่างในชีวิตเราตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ตายไปแล้ว เราก็ให้มารเป็นผู้จัดการชีวิตหลังความตายให้เรา
พวกเราคงจำกันไม่ได้แล้วว่า พวกเราตกลงร่วมกันทำพันธสัญญาว่า พวกกูพระเจ้า(พระอรหันต์) แต่ละองค์ จะทิ้งความเป็นพุทธะของตนเอง และยินยอมให้กฎแห่งกรรมเป็นตัวกำหนดนำทางชีวิต นอกจากนี้ก็ให้อำนาจแก่บรรดามารแต่ละตนในการลงโทษ หรือให้คุณประโยชน์กับตัวเราเองที่กลับกลายเป็นดวงวิญญาณมนุษย์ไปแล้ว
ก็เหมือนในเรื่อง The Matrix นั่นแหละ มารแม่งคุมโลกแห่งความนึกคิดของทุกชีวิต แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อนีโอ ซึ่งรู้ความจริงแล้วว่า มีความหวังเดียวที่จะหลุดพ้น หรือได้รับอิสรภาพทางความคิด พ้นจากอำนาจของมาร คือ กลับไปเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า(เครื่องจักร)
เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าของเราหลุดพ้นความทุกข์ทางโลกได้ หรือได้รับอิสรภาพทางความคิด ก็ต้องกลับไปเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าที่มีกาย(รูป) แล้วไปอยู่ในพุทธเกษตร(เมืองนิพพาน หรือ สวรรค์นิรันดร) หรือถ้าไม่ต้องการมีกายแล้ว ก็เป็นพระเจ้าไร้รูป เป็นจิตว่างไม่มีกาย = ปรินิพพาน
ความสำคัญของผู้ที่จะเข้าถึงนิพพาน และปรินิพพานอยู่ที่ จิตต้องมีสติเสมอ ไม่มีความคิดนึกปรุงแต่ง จึงไม่มีอารมณ์ ซึ่งอารมณ์นั้นเองเป็นเหตุให้ต้องตกชั้นภูมิลงไปเป็นมนุษย์ เทพ หรือพรหมอีก พระโพธิสัตว์สายเถรวาทที่ต้องการบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าทุกองค์ก็อาศัยความจริงข้อนี้เอง เลยไม่ยอมทิ้งความเมตตากรุณาออกจากใจ แล้วก็ต้องลงไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่เพื่อสร้างบารมีเพิ่มให้ครบ 10 อย่าง จะได้ช่วยขนสรรพสัตว์กลับนิพพานได้มาก ในขณะที่อรหันต์สาวกธรรมดา ขนกลับไปได้น้อยมาก หรือไม่ได้เลย
ส่วนพระโพธิสัตว์อรหันต์ของมหายาน ท่านก็ใช้วิธีหล่อเลี้ยงตัวเองไม่ให้เข้าปรินิพพาน เป็นจิตว่างไร้กาย โดยตั้งปณิธานว่า ตราบใดที่ยังมีผู้ตกทุกข์อยู่ หรือตราบใดที่สรรพสัตว์ยังไม่เข้านิพพาน ตราบนั้นพวกท่านก็จะไม่เข้าปรินิพพาน
สิ่งที่มารบกวนขัดขวางมิให้บรรลุถึงสิ่งที่ดีงาม มี ๕ ประการ ได้แก่
(๑) กิเลสมาร มารคือกิเลสที่เกิดกับใจ
(๒) ขันธมาร มารคือขันธ์ ๕ อันเป็นองค์ประกอบของชีวิต ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งองค์ประกอบทั้งห้านี้ มีความแปรปรวนและเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติ
(๓) อภิสังขารมาร มารคือความนึกคิดปรุงแต่งที่คิดไปในทางลบ
(๔) เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร ซึ่งอาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้นกามาวจร คอยขัดขวางการทำความดีของผู้อื่น และ
(๕) มัจจุมาร มารคือความตาย ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางโอกาสที่จะได้พบกับสิ่งที่ดีงาม
และเรื่อง..
เราพูดกันว่า มารคือกิเลส ตัณหา อุปาทาน
เราพูดกันว่า มารคืออวิชชา มารคือทุกข์และสมุทัย
มารคือ กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุราชมาร อภิสังขารมาร
พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)
1. ขันธมาร
2. ธาตุมาร
3. อายตนะมาร
4. คติมาร
5. อุปบัติมาร
6. ปฏิสนธิมาร
7. ภวมาร
8. สังสารมาร
9. วัฏฏมาร
แต่คุณเจ้านายร่ายมายาวมาก ทั้งๆที่ผู้สอนคุณเป็นพระอาจารย์ยุคปัจจุบัน ที่บุญบารมียังไม่ถึงขึ้น ความรู้จริงก็ไม่มี มีแต่รู้งูๆปลาๆทั้งนั้น
แต่คุณเจ้านายดันทะลึ่งร่ายยาวไปไกลถึงขั้นครอบทุกภพภูมิไม่ยังพอ ดันพาไปครอบถึงเมืองพระนิพพานด้วย ที่ผู้มีอำนาจปกครองล้วนเป็นพระพุทธเจ้าภาคดำทั้งนั้น พระพุทธเจ้าภาคขาวส่วนใหญ่บารมีไม่ถึงภาคดำ
ผมว่าคุณไปพาอาจารย์ผู้สอนธรรมกายมาทุกสำนักเลย ผมจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด จะได้เลิกมั่วกันเรื่องใหญ่ๆเหล่านี้
ผมขอเจาะประเด็นนิยามคำว่ามารก่อน ไม่งั้นคุยกันไม่รู้เรื่อง
มาร..โดยทั่วไปหมายถึง..ผู้ที่มาล่อหลอกเราให้ก่อกรรมทำอกุศลหรือบาป ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ
แต่พระพุทธเจ้าของเรา เพิ่มมารเข้าไปอีกตัวหนึ่ง คือ เพิ่มผู้ที่มาล่อหลอกเราให้ทำกุศลหรือบุญด้วย เพราะการทำบุญก็ทำให้พวกเราต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏเหมือนกัน การที่มนุษย์เราต้องทำบุญหรือไม่ก็ทำบาป แต่ทั้ง 2 ทาง ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้พวกเราไม่สามารถหลุดออกจากสังสารวัฏทั้งนั้น
แล้วพระพุทธองค์ก็จำแนกผู้ที่ทำหน้าที่เป็นมาร และทำให้พวกเราต้องวนเวียนในสังสารวัฏ คือ 1.กิเลสมาร 2.ขันธมาร 3.อภิสังขารมาร 4.เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร 5.มัจจุมาร
มารทั้ง 5 ชนิด ถ้าจะจำแนกแบบเจาะลึก ตามพระไตรปิฎก ขุ จูฬ 30/427/203 ก็จะมีมารเป็น 9 แบบ ดังที่กล่าวมาข้างต้น
ถ้าจะสรุปโดยยอดรวมจะเหลือมารอยู่อันเดียว มารตัวนั้น คือ ความคิดนึก ..... พวกเราเสือกคิดนึกไปเอง โดยพวกเราไม่รู้ว่า ตัวเราเองคือพระเจ้า หรือ พุทธะ และพระพุทธเจ้า พวกเราอยู่ในความว่างของจักรวาล พวกเราเป็นผู้ควบคุม เป็นผู้สร้างสรรค์จักรวาล โลก สวรรค์นรก และเมืองนิพพาน ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดจากพวกเราคิดนึกให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น
ถ้าพวกเรายังมีความคิดนึกอยู่ มารก็ยังไม่ไปไหน ไม่ว่าเราจะตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ หรือเกิดมาเป็นขอทาน หรือร่ำรวย สุขภาพเป็นอย่างไร เพราะเราให้มารเป็นผู้คุมเรา จัดการทุกอย่างในชีวิตเราตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ตายไปแล้ว เราก็ให้มารเป็นผู้จัดการชีวิตหลังความตายให้เรา
พวกเราคงจำกันไม่ได้แล้วว่า พวกเราตกลงร่วมกันทำพันธสัญญาว่า พวกกูพระเจ้า(พระอรหันต์) แต่ละองค์ จะทิ้งความเป็นพุทธะของตนเอง และยินยอมให้กฎแห่งกรรมเป็นตัวกำหนดนำทางชีวิต นอกจากนี้ก็ให้อำนาจแก่บรรดามารแต่ละตนในการลงโทษ หรือให้คุณประโยชน์กับตัวเราเองที่กลับกลายเป็นดวงวิญญาณมนุษย์ไปแล้ว
ก็เหมือนในเรื่อง The Matrix นั่นแหละ มารแม่งคุมโลกแห่งความนึกคิดของทุกชีวิต แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อนีโอ ซึ่งรู้ความจริงแล้วว่า มีความหวังเดียวที่จะหลุดพ้น หรือได้รับอิสรภาพทางความคิด พ้นจากอำนาจของมาร คือ กลับไปเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า(เครื่องจักร)
เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าของเราหลุดพ้นความทุกข์ทางโลกได้ หรือได้รับอิสรภาพทางความคิด ก็ต้องกลับไปเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าที่มีกาย(รูป) แล้วไปอยู่ในพุทธเกษตร(เมืองนิพพาน หรือ สวรรค์นิรันดร) หรือถ้าไม่ต้องการมีกายแล้ว ก็เป็นพระเจ้าไร้รูป เป็นจิตว่างไม่มีกาย = ปรินิพพาน
ความสำคัญของผู้ที่จะเข้าถึงนิพพาน และปรินิพพานอยู่ที่ จิตต้องมีสติเสมอ ไม่มีความคิดนึกปรุงแต่ง จึงไม่มีอารมณ์ ซึ่งอารมณ์นั้นเองเป็นเหตุให้ต้องตกชั้นภูมิลงไปเป็นมนุษย์ เทพ หรือพรหมอีก พระโพธิสัตว์สายเถรวาทที่ต้องการบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าทุกองค์ก็อาศัยความจริงข้อนี้เอง เลยไม่ยอมทิ้งความเมตตากรุณาออกจากใจ แล้วก็ต้องลงไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่เพื่อสร้างบารมีเพิ่มให้ครบ 10 อย่าง จะได้ช่วยขนสรรพสัตว์กลับนิพพานได้มาก ในขณะที่อรหันต์สาวกธรรมดา ขนกลับไปได้น้อยมาก หรือไม่ได้เลย
ส่วนพระโพธิสัตว์อรหันต์ของมหายาน ท่านก็ใช้วิธีหล่อเลี้ยงตัวเองไม่ให้เข้าปรินิพพาน เป็นจิตว่างไร้กาย โดยตั้งปณิธานว่า ตราบใดที่ยังมีผู้ตกทุกข์อยู่ หรือตราบใดที่สรรพสัตว์ยังไม่เข้านิพพาน ตราบนั้นพวกท่านก็จะไม่เข้าปรินิพพาน
0 comments:
แสดงความคิดเห็น