A A

5 กรกฎาคม 2558

เจาะลึกถึงแก่นในสุดของมาร(อวิชชา) กระทู้นี้ ทำให้ผมPhonsak จำเป็นต้องกราบคารวะพระพุทธเจ้าที่สิงสถิตในจิตของผมด้วยใจจริง‏‏‏‏ ‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏

ความจริงผมตั้งใจจะเข้ามาตอบเรื่อง.. มารในพระพุทธศาสนา หมายถึง
สิ่งที่มารบกวนขัดขวางมิให้บรรลุถึงสิ่งที่ดีงาม มี ๕ ประการ ได้แก่
(๑) กิเลสมาร  มารคือกิเลสที่เกิดกับใจ
(๒) ขันธมาร มารคือขันธ์ ๕ อันเป็นองค์ประกอบของชีวิต ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งองค์ประกอบทั้งห้านี้ มีความแปรปรวนและเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติ
(๓) อภิสังขารมาร มารคือความนึกคิดปรุงแต่งที่คิดไปในทางลบ
(๔) เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร ซึ่งอาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้นกามาวจร คอยขัดขวางการทำความดีของผู้อื่น และ
(๕) มัจจุมาร มารคือความตาย ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางโอกาสที่จะได้พบกับสิ่งที่ดีงาม

และเรื่อง..

     เราพูดกันว่า มารคือกิเลส ตัณหา อุปาทาน

     เราพูดกันว่า มารคืออวิชชา มารคือทุกข์และสมุทัย

     มารคือ กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุราชมาร อภิสังขารมาร

     พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)

1. ขันธมาร
2. ธาตุมาร
3. อายตนะมาร
4. คติมาร
5. อุปบัติมาร
6. ปฏิสนธิมาร
7. ภวมาร
8. สังสารมาร
9. วัฏฏมาร

แต่คุณเจ้านายร่ายมายาวมาก  ทั้งๆที่ผู้สอนคุณเป็นพระอาจารย์ยุคปัจจุบัน  ที่บุญบารมียังไม่ถึงขึ้น ความรู้จริงก็ไม่มี  มีแต่รู้งูๆปลาๆทั้งนั้น

แต่คุณเจ้านายดันทะลึ่งร่ายยาวไปไกลถึงขั้นครอบทุกภพภูมิไม่ยังพอ  ดันพาไปครอบถึงเมืองพระนิพพานด้วย  ที่ผู้มีอำนาจปกครองล้วนเป็นพระพุทธเจ้าภาคดำทั้งนั้น  พระพุทธเจ้าภาคขาวส่วนใหญ่บารมีไม่ถึงภาคดำ

ผมว่าคุณไปพาอาจารย์ผู้สอนธรรมกายมาทุกสำนักเลย  ผมจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด  จะได้เลิกมั่วกันเรื่องใหญ่ๆเหล่านี้


ผมขอเจาะประเด็นนิยามคำว่ามารก่อน  ไม่งั้นคุยกันไม่รู้เรื่อง

มาร..โดยทั่วไปหมายถึง..ผู้ที่มาล่อหลอกเราให้ก่อกรรมทำอกุศลหรือบาป  ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ

แต่พระพุทธเจ้าของเรา เพิ่มมารเข้าไปอีกตัวหนึ่ง คือ เพิ่มผู้ที่มาล่อหลอกเราให้ทำกุศลหรือบุญด้วย   เพราะการทำบุญก็ทำให้พวกเราต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏเหมือนกัน   การที่มนุษย์เราต้องทำบุญหรือไม่ก็ทำบาป  แต่ทั้ง 2 ทาง  ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้พวกเราไม่สามารถหลุดออกจากสังสารวัฏทั้งนั้น

แล้วพระพุทธองค์ก็จำแนกผู้ที่ทำหน้าที่เป็นมาร และทำให้พวกเราต้องวนเวียนในสังสารวัฏ คือ 1.กิเลสมาร  2.ขันธมาร 3.อภิสังขารมาร 4.เทวปุตตมาร มารคือเทวบุตร 5.มัจจุมาร

มารทั้ง 5 ชนิด ถ้าจะจำแนกแบบเจาะลึก ตามพระไตรปิฎก ขุ จูฬ 30/427/203 ก็จะมีมารเป็น 9 แบบ ดังที่กล่าวมาข้างต้น


ถ้าจะสรุปโดยยอดรวมจะเหลือมารอยู่อันเดียว มารตัวนั้น คือ ความคิดนึก .....  พวกเราเสือกคิดนึกไปเอง  โดยพวกเราไม่รู้ว่า ตัวเราเองคือพระเจ้า หรือ พุทธะ และพระพุทธเจ้า  พวกเราอยู่ในความว่างของจักรวาล  พวกเราเป็นผู้ควบคุม เป็นผู้สร้างสรรค์จักรวาล โลก สวรรค์นรก และเมืองนิพพาน  ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดจากพวกเราคิดนึกให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น

ถ้าพวกเรายังมีความคิดนึกอยู่  มารก็ยังไม่ไปไหน  ไม่ว่าเราจะตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ หรือเกิดมาเป็นขอทาน หรือร่ำรวย สุขภาพเป็นอย่างไร  เพราะเราให้มารเป็นผู้คุมเรา จัดการทุกอย่างในชีวิตเราตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ตายไปแล้ว  เราก็ให้มารเป็นผู้จัดการชีวิตหลังความตายให้เรา

พวกเราคงจำกันไม่ได้แล้วว่า  พวกเราตกลงร่วมกันทำพันธสัญญาว่า  พวกกูพระเจ้า(พระอรหันต์) แต่ละองค์ จะทิ้งความเป็นพุทธะของตนเอง  และยินยอมให้กฎแห่งกรรมเป็นตัวกำหนดนำทางชีวิต  นอกจากนี้ก็ให้อำนาจแก่บรรดามารแต่ละตนในการลงโทษ หรือให้คุณประโยชน์กับตัวเราเองที่กลับกลายเป็นดวงวิญญาณมนุษย์ไปแล้ว

ก็เหมือนในเรื่อง The Matrix นั่นแหละ  มารแม่งคุมโลกแห่งความนึกคิดของทุกชีวิต  แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อนีโอ  ซึ่งรู้ความจริงแล้วว่า มีความหวังเดียวที่จะหลุดพ้น หรือได้รับอิสรภาพทางความคิด พ้นจากอำนาจของมาร คือ กลับไปเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า(เครื่องจักร)

เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าของเราหลุดพ้นความทุกข์ทางโลกได้  หรือได้รับอิสรภาพทางความคิด  ก็ต้องกลับไปเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าที่มีกาย(รูป) แล้วไปอยู่ในพุทธเกษตร
(เมืองนิพพาน หรือ สวรรค์นิรันดร) หรือถ้าไม่ต้องการมีกายแล้ว  ก็เป็นพระเจ้าไร้รูป เป็นจิตว่างไม่มีกาย = ปรินิพพาน

ความสำคัญของผู้ที่จะเข้าถึงนิพพาน และปรินิพพานอยู่ที่ จิตต้องมีสติเสมอ  ไม่มีความคิดนึกปรุงแต่ง  จึงไม่มีอารมณ์  ซึ่งอารมณ์นั้นเองเป็นเหตุให้ต้องตกชั้นภูมิลงไปเป็นมนุษย์ เทพ หรือพรหมอีก  พระโพธิสัตว์สายเถรวาทที่ต้องการบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าทุกองค์ก็อาศัยความจริงข้อนี้เอง  เลยไม่ยอมทิ้งความเมตตากรุณาออกจากใจ  แล้วก็ต้องลงไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่เพื่อสร้างบารมีเพิ่มให้ครบ 10 อย่าง จะได้ช่วยขนสรรพสัตว์กลับนิพพานได้มาก ในขณะที่อรหันต์สาวกธรรมดา ขนกลับไปได้น้อยมาก หรือไม่ได้เลย

ส่วนพระโพธิสัตว์อรหันต์ของมหายาน  ท่านก็ใช้วิธีหล่อเลี้ยงตัวเองไม่ให้เข้าปรินิพพาน เป็นจิตว่างไร้กาย  โดยตั้งปณิธานว่า ตราบใดที่ยังมีผู้ตกทุกข์อยู่  หรือตราบใดที่สรรพสัตว์ยังไม่เข้านิพพาน  ตราบนั้นพวกท่านก็จะไม่เข้าปรินิพพาน

0 comments:

แสดงความคิดเห็น