A A

5 กรกฎาคม 2558

ขับรถทับหมาโดยไม่เจตนาไม่มีบาปกรรม แต่มีเวรกรรม‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏

กรรมที่เกิดจากการไม่เจตนา คือ กตัตตากรรม หรือกรรมสักว่าทำ คือเจตนาอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้น กรรมนี้จะให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผล ส่วนใหญ่จะให้ผลในชาติที่ตนเองบรรลุธรรม และให้ผลเฉพาะกรรมที่ไม่มีเจตนาอันใหญ่ๆเท่านั้น

คุณdarinyaก็เหมือนผม ผมจะเล่าให้ฟัง  ตอนดึกของวันหนึ่ง ผมขับรถออกจากซอยในหมู่บ้าน มีหมาตัวสีน้ำตาลอ่อนตัวหนึ่งนอนขวางถนนอยู่ หันก้นมาทางรถของผม แม้แต่หางของหมาผมก็ไม่เห็นด้วย และธรรมดา 1,000 ครั้ง พอผมขับรถมา หมาทุกตัวจะลุกขึ้นหลบรถผมทั้งนั้น

แต่หมาตัวนี้ไม่หลบ ไม่เคลื่อนไหว ผมเลยนึกว่าใครทิ้งถุงสีน้ำตาลไว้  แล้วมันตอนดึกมาก ไฟก็สลัว ผมเลยขับรถทับมันไป นึกว่าทับถุงกระดาษ  แต่ปรากฏว่าได้ยินเสียงหมาร้อง อีกไม่เกิน 5 นาที ผมก็ขับรถมาทางเก่าอีก เห็นหมาตัวนั้นนอนเงยหัวอยู่ในอีกที่ ที่แท้ มันยังไม่ตาย ความเจ็บปวดก็ลดลงแล้ว ผมจึงไม่เห็นและไม่ได้ยินหมาร้องอีก


บังเอิญผมเป็นคนชอบทำบุญและชอบทำทั้งสมถะและวิปัสสนา แล้วแผ่เมตตาอุทิศผลบุญในชีวิตของผมให้บรรดาเจ้ากรรมนายเวรแต่ละเรื่องไป เช่น เรื่องสุขภาพ เรื่องการเงิน การค้า ฯลฯ วันนั้นและวันต่อมา ผมก็ทำสมาธิแผ่เมตตาอุทิศผลบุญในชีวิตของผมทั้งหมดให้บรรดาเจ้ากรรมนายเวรของหมา และให้ตัวหมาด้วย เพื่อช่วยลดวิบากกรรมที่หมาตัวนี้จะต้องประสพต่อไปในชีวิตของมันในวันข้างหน้า

ปรากฏว่า จู่ๆผมปวดไหล่และบ่ามากอยู่ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ทุเลาลงมาก มันเหมือนมีอะไรมาดลจิตให้ผมรู้ว่า ที่ผมขับรถทับหมา เป็นวิบากกรรมของหมาที่ต้องได้รับ แล้วผมไม่ได้ทำบาปกรรม บาปกรรมจึงไม่มี แต่มีเวรกรรม เวรกรรมคือ กรรมที่ไม่มีเจตนา(กตัตตากรรม) กรรมสักว่าทำ คือเจตนาอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้น ให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผลแล้วเท่านั้น

หลวงพ่อจรัล
ก็เคยขว้างไม้ออกนอกกุฏิของท่าน ไปโดนหัวหมา จนหมาร้อง  หลวงพ่อจรัลก็ไม่ได้ทำบาปกรรม เพราะไม่มีเจตนาอกุศล แต่ท่านทำเวรกรรม คือ ทำกรรมที่ไม่มีเจตนา(กตัตตากรรม) วันหนึ่งหลวงพ่อจรัลกำลังเทศน์สอนธรรมด้านนอก มีลมแรงมากพัดท่อนไม้มาชนหัวท่านแตกนิดหน่อย ท่านก็เลยเปลี่ยนเรื่องสอนกะทันหัน มาสอนเรื่องเวรกรรม คือ การทำกรรมที่ไม่มีเจตนา(กตัตตากรรม)แทน

พระพุทธเจ้าของเรา ในชาติที่ตนเองบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็โดนกตัตตากรรมใหญ่อันหนึ่งให้ผลเหมือนกัน คือ ชาติหนึ่งพระพุทธเจ้าเกิดเป็นเด็กเลี้ยงควาย พาควายไปไถนา จนควายเหนื่อย เห็นหนองน้ำที่สกปรกมากจึงจะเข้าไปกิน แต่พระพุทธเจ้าไม่อยากให้ควายกินน้ำสกปรกนั้น จึงจูงพาเดินและไล่ไปที่อื่น ด้วยการทำกรรมที่ไม่มีเจตนา(กตัตตากรรม)จะให้ควายอดน้ำแต่อย่างไร เพียงแต่ท่านคิดไม่เหมือนควายที่ไม่รู้ว่าน้ำนั้นสกปรก

กตัตตากรรมจึงตามมาสนอง ตอนท่านกระหายน้ำ กลับไม่มีน้ำสะอาดให้ดื่ม ต้องให้พระอานนท์ไปเอาน้ำสะอาดที่อยู่ในพื้นที่ไกลกว่ามาให้ดื่ม



From: Banna

เยี่ยมยอด อธิบายได้ดี ถูกปิฎก เข้าใจง่าย ดีกว่าเขียนเรื่องเหี้ยๆ เล่นหวย ผีอำแล้วชักเว่า จู๋เด่ มันบ้าชัดๆ  เขียนแนวนี้ดีกว่าเยอะ

บรรณา

ตอบ

ส่วนใหญ่ผู้ที่โดนมารสิงใจ เช่นมึง ให้กูเขียนแต่เรื่องผี เทวดา เปรต ยักษ์ นาค เมืองลับแล เบอร์มิวด้า  และความลับอื่นๆ  คือ เรื่องของภพภูมิอื่นๆ

แค่จุดมุ่งหมายจริงๆของพุทธศาสนา ต้องทิ้งเรื่องลวงๆที่เป็นมายาเหล่านั้นไปให้หมด  เข้าสู่เรื่องการดับทุกข์  คือการหยุดส่งออกความคิด หรือส่งออกจิตออกจากความว่าง  เพราะข้างนอกคือโลกนั้น  มันมีแต่ทุกข์ คือ ทุกข์จากความคิด  ทุกข์สุขใดๆทางโลกที่มึงและทุกคนในโลกได้รับ ล้วนมาจากบุญบาปที่มึงและทุกคนก่อเอาไว้ทั้งนั้น 

จุดมุ่งหมายของพวกพระพุทธเจ้า  ต้องการให้กูเขียนเรื่องใบไม้นอกกำมือพระพุทธเจ้าเรื่องใบไม้ในกำมือ โคตมะพระพุทธเจ้าอธิบายไปหมดแล้ว  พวกพระพุทธเจ้าต้องการให้กูตีความพุทธพจน์ให้ถูกต้องเท่านั้น  และให้ตีความคำสอนของพระเจ้าในไบเบิล และอัลกุรอาน  กูจึงไม่มีเวลาว่างมากนัก  จึงต้องเขียนแต่เรื่องที่เป็นปริศนาที่ผู้คนอยากรู้  แต่ไม่มีใครกล้าเขียน  ยกเว้นกูเท่านั้นที่กล้าเขียน  สันดานอย่างนี้ มันติดมานานแล้ว  ตั้งแต่มนุษย์ทั่วไปสักการบูชาผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้าแบบธรรมดา แต่กูในอีกโลกใบหนึ่งเกิดเป็น พราหมณ์ ชื่อว่า นารทมาณพ วันหนึ่งได้พบกับ พระกัสสปะพุทธเจ้า เกิดความยินดี เลื่อมใสเป็นอย่างมาก และเข้าใจคำสอนเรื่องบาปบุญอยู่ที่เจตนา  ถ้าเจตนากระทำด้วยอกุศลก็เป็นบาป  ถ้าเจตนากระทำด้วยกุศลก็เป็นบุญ  กูจึงทำการสักการบูชาพระกัสสปะพุทธเจ้าด้วยการ ใช้ผ้า 2 ผืนชุบน้ำมันพันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าทั้ง 2 ข้าง และจุดไฟ เผาตัวเอง  ถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระกัสสปะพุทธเจ้าซะเลย

0 comments:

แสดงความคิดเห็น