A A

5 กรกฎาคม 2558

ขันธ์ 5 เป็นกายอนัตตา ส่วน ธรรมกาย และสัมโภคกาย(พระวิญญาณบริสุทธิ์) เป็นกายอัตตา‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏

ขันธ์ 5 เป็นกายอนัตตา ที่เกิดแก่เจ็บตาย = หนีไตรลักษณ์ไม่พ้น  ส่วน  
ธรรมกาย และสัมโภคกาย เป็นกายอัตตา ที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย = หนีไตรลักษณ์พ้น

ขันธ์ 5 ได้แก่ 1.รูป(กายเนื้อมนุษย์)  2.เวทนา(ความรู้สึก) 3.สัญญา(ความจำ) 4.สังขาร(ความนึกคิดปรุงแต่ง) และ 5.วิญญาณ(ตัวรับรู้อายตนะ =สมองและระบบประสาท)  
ทั้งรูป(กายเนื้อมนุษย์)เวทนา(ความรู้สึก)สัญญา(ความจำ)สังขาร(ความนึกคิดปรุงแต่ง) และ วิญญาณ(ตัวรับรู้อายตนะ =สมองและระบบประสาท)  สิ่งเหล่านี้หนีกฎไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)ไม่พ้น  เพราะ
กายของมนุษย์เป็นอนิจจัง กายมันจึงไม่เที่ยง เสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็แก่ อีกเดี๋ยวก็เจ็บป่วย  ต่อมาอีกสัก 70-80 ปีก็ต้องม่องเท่งไป

สภาพเหล่านี้มันบีบคั้นจิตใจมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะเราไม่สามารถบังคับให้ร่างกายของเรา  คงทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป จึงเรียกว่า 
"ทุกขัง"

การที่เราไม่สามารถบังคับให้ร่างกายของเรา  คงทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป =เราไม่สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้  เรียกว่า ร่างกายของเรามี 
"อนัตตลักษณะ"

มนุษย์จึงเป็นผู้ที่ต้องเกิดแก่เจ็บตายทุกคน หรือเป็นผู้หนีไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)ไม่พ้น   


ศาสนาทุกศาสนา โดยเฉพาะในศาสนาพุทธชี้ว่า "บาป" ที่เราก่อไว้กับผู้อื่นในอดีตและอดีตชาติ นั่นเอง  ทำให้เราต้องตาย ต้องเจ็บและต้องถูกบีบคั้นในชีวิตส่วนตัว

ในศาสนาคริสต์  คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ 
"ค่าจ้างของบาป ก็คือความตาย"

ในศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าชี้ชัดว่า  ผู้ที่ชดใช้บาปในโลกหมดแล้ว หรือทำจิตให้หลุดพ้นจากบาป ที่เกิดจากจิตอกุศล คือ ราคะ โทสะ โมหะ ได้แล้ว  เขาจะเป็นอรหันต์  ที่พอตายจากโลกนี้ไปแล้ว  จะไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก  คือ ไม่ต้องรับการเกิดแก่เจ็บตายใหม่

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ความกำจัดราคะ  ความกำจัดโทสะ  ความกำจัดโมหะ  นี้เป็นชื่อแห่ง
นิพพานธาตุ
ความสิ้นราคะ  ความสิ้นโทสะ  ความสิ้นโมหะ  นี้เรียกว่า 
อมตภาพ......"
ภิกขุสูตร ที่ ๒ มหา. สํ. (๓๑-๓๒)

เมื่อพระอรหันต์ได้กลายสภาพเป็นนิพพานธาตุ และเป็นอมตะไปแล้ว  และจิตสังขารที่ติดอวิชชา และเป็นตัวสร้างขันธ์ 5 ในโลกมนุษย์ และสร้างนามกาย(กายทิพย์)หรือวิญญาณธาตุในปรโลกล่ะ  มันหายไปไหน ไม่มาเวียนว่ายตายเกิดใน 31 ภพภูมิอีกหรือ?   เพราะจิตสังขารที่ติดอวิชชาขันธ์ 5, เปรต เทวดา พรหม ฯลฯ หรือพวกนามกาย(กายทิพย์) มันล้วนเป็นสสารและพลังงานนะ   มันย่อมไม่เกิดขึ้นใหม่  และสูญหายไปก็ไม่ได้ ไม่ใช่หรือ

ถูกแล้วครับ...  สสารและพลังงานเหล่านี้ไม่ได้สูญสลายไป   แต่มันได้เปลี่ยนสภาพไปเป็นรูปและพลังงานอีกประเภทหนึ่ง   ที่เรียกว่า พระเจ้าบ้างเทพเจ้าบ้างพระวิสุทธิเทพบ้าง  และไปดำรงอยู่ในที่แห่งใหม่  ที่เรียกว่า เมืองนิพพาน หรือ พุทธเกษตร หรือสวรรค์นิรันดร  ที่นั่นพระพุทธเจ้าของเราเรียกว่า "ฝั่งโน้น"เป็นฝั่งอมตะนิรันดร   ที่พวกเราเหล่าพระเจ้า ไม่มีความจำเป็นต้องเกิดแก่เจ็บตาย  และไม่มีการขาดแคลนปัจจัยใดๆ  เพราะพระเจ้าค้นพบความจริงว่า  จิตมหาบริสุทธิ์สามารถสร้างและเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างได้

อย่างไรก็ตาม  ผู้ที่เข้าถึงอรหันต์แล้ว  สามารถดับสลายหรือละลายจิตสังขาร หรืออทิสมานกายตัวเอง ทิ้งไปได้  เนื่องจากกายนั้นเป็นของสมมุติ  เป็นของว่างเปล่า  ไมได้มีจริง  มันมีจริงเพราะจิตสังขารของเราไปยึดมั่นถือมั่นมันเอาไว้  เมื่อจิตของเราหมดความยึดมั่นถือมั่นแล้ว  เราจึงละลายมันทิ้งไปได้

พวกที่เป็นอรหันต์แล้ว  แต่ไม่ยอมละลายอทิสมานกาย หรือกายสมมุติของตนทิ้งไป  ล้วนเป็นพวกที่สร้างบุญและทานในโลกไว้มาก  ท่านเห็นว่า บุญและทานในโลกที่ท่านสร้างไว้มากนั้น  สามารถช่วยชาติบ้านเมืองได้มาก  ท่านก็เลยเก็บอทิสมานกายนั้นไว้  แล้วให้มันลงไปเกิดใหม่  เช่น  เจ้าแม่กวนอิมไทย ชื่อ พรรณวดีศรีโสภาค ท่านปล่อยอทิสมานกายของท่าน ไปเกิดใหม่เป็น เจ้าแม่จามเทวี  พระศรีสุริโยทัย  หลานสาวพระเจ้าตากสิน  พระนางเรือล่มเมีย ร.5  และชาติปัจจุบันเป็นน้องปู  ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เอ้า! ออกนอกประเด็นอีกแล้ว พูดง่ายๆก็คือ มันมีฝั่งโน้น ซึ่งเป็นฝั่งของกายพระเจ้าที่เป็นอมตะ  และมันมี"ฝั่งนี้" ซึ่งเป็นฝั่งของโลกและจักรวาลในทุกมิติทุกภพภูมิ ฝั่งนี้ล้วนต้องอาศัยตัวบุญ เป็นปัจจัยเบื้องหลังการดึงทรัพยากรต่างๆมาใช้  แม้แต่ชีวิตของเราเอง  ตัวบุญ ก็เป็นตัวที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราไว้  

การที่มนุษย์จะเปลี่ยนสภาพจากกายอนัตตาที่ต้องทุกข์ ต้องเกิดแก่เจ็บตาย  เป็นกายอัตตาที่ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องเกิดแก่เจ็บตาย

เราต้องดูที่สาเหตุที่เราต้องตาย  และต้องทนทุกข์จากความบีบคั้นทางกายและทางใจในโลกมนุษย์  สาเหตุนั้นมาจาก บาปกรรมที่เราเคยก่อไว้กับมนุษย์และสรรพสัตว์ต่างๆ  เมื่อเราก่อบาปหรือบุญ  เราย่อมเป็นผู้ก่อหนี้กรรมชั่วและกรรมดีกับคนอื่น  ผู้ที่เราเป็นหนี้กรรมเขาเรียกว่า 
"เจ้ากรรมนายเวร"   ถ้าเราไม่ใช้หนี้บาปกรรมที่ทำกับเจ้ากรรมนายเวรของเรา  ชีวิตของเราย่อมประสพแต่ความทุกข์ทางกาย และความทุกข์ทางใจ  สุดท้ายก็ต้องตายในที่สุด  แล้วก็ย่อมต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดใหม่ เป็นกายอนัตตา(มนุษย์)

เมื่อพระอรหันต์หลีกหนีการเวียนว่ายตายเกิดพ้นแล้ว  พระอรหันต์เหล่านั้นจะได้กายที่เรียกว่า กายอัตตา  กายอัตตา=กายอมตะและไม่มีทุกข์  พระพุทธเจ้าเรียกกายอัตตานี้ว่า อายตนะนิพพาน หรือธรรมกาย  แต่ธรรมกายเป็นกายที่สงบ  ไม่นำเข้าเรื่องราวใดๆมานึกคิด "ธรรมกาย" จึงจำเป็นต้องนิรมิตกายอัตตา ขึ้นมาอีกกายหนึ่ง  ที่ทำหน้าที่ช่วยงานใน 3 ภพ 31 ภพภูมิ ในทุกมิติ  กายนั้นพระพุทธเจ้าเรียกไปทางมหายานว่า "สัมโภคกาย" สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เรียกว่า "พุทธนิมิต"

สรุป
 กายอัตตา หรือกายอมตะไม่มีทุกข์ มี 2 กายคือ 1. ธรรมกาย 2. สัมโภคกาย  ศาสนาคริสต์เรียกสัมโภคกายว่า  พระวิญญาณมหาบริสุทธิ์  ส่วนกายมนุษย์นั้นเป็นกายอนัตตา = กายที่ไม่เที่ยง เป็นกายสมมุติ อวิชชา หรือ บาป เป็นเหตุให้มันต้องเป็นทุกข์ในโลก และต้องเกิดแก่เจ็บตายข้ามภพข้ามชาติไปเรื่อยๆ  พอตายไป ก็ต้องกลายเป็น เปรต สัตว์นรก เทวดา ยักษ์ นาค พรหม ฯลฯ แล้วในที่สุดก็ต้องกลับมาเป็นมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานในโลกมนุษย์

0 comments:

แสดงความคิดเห็น