คำคมจาก "ขงเบ้ง"
ที่ว่า "ลิขิตของฟ้า
ฤาจะสู้มานะตน" เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ความมานะอย่างสุดกำลังของมุนีสมณะ(สิทธัตถะ) ในการบำเพ็ญเพียรและทนทุกข์ทรมานถึง 6 ปี
จนกระทั่งในที่สุด
ก็สามารถบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าโคดม
ผู้คนและพระสงฆ์ส่วนใหญ่จะรู้เพียงว่า ที่พระโคดมพุทธเจ้าใช้เวลานานขนาดนั้น ทั้งๆที่ได้บารมี 30 ทัศครบถ้วนมาแล้วตั้งแต่ในสมัยที่เป็นพระเวสสันดร เพราะพระองค์โดนบรรดามารและพญามารกลั่นแกล้ง คำตอบเช่นนี้ยังไม่ตรงประเด็นเท่าไร เนื่องจากมารและพญามารจะกลั่นแกล้งไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากบารมี 30 ทัศของเจ้าชายสิทธัตถะสมบูรณ์ไปแล้วก่อนที่จะลงมาเกิด
ผู้ที่ขัดขวางการบรรลุธรรมของพระองค์ คงต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพระองค์เอง เมื่อผมไปสืบเสาะดู จึงพบความจริงว่า ที่มุนีสมณะต้องใช้เวลาบำเพ็ญเพียรนานมาก เพราะในอดีตชาติอันไกลโพ้น (ที่ไม่ใช่โลกมนุษย์ใบนี้ในมิตินี้) ท่านเคยพูดจาบจ้วง พระพุทธเจ้ากัสสปะ..
ฟังคำสารภาพความจริงจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้านะครับ
"ในกาลนั้น เราได้เป็นพราหมณ์ชื่อ โชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก(ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด
(บัดนี้)เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน...."
ตอนนี้คงพอเข้าใจแล้วว่า กรรมที่ไปเถียง และไม่เชื่อในถ้อยคำของพระกัสสปปะพุทธเจ้า เป็นตัวดึงให้พญามารตามรังควานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดตั้งแต่ครั้งทรงออกผนวช พญามารก็เอาสมบัติจักรพรรดิมาล่อ แต่ไม่สำเร็จ จึงมาปิดบังจิตของพระองค์ ไม่ให้รู้เห็นว่า ทางสายกลางเข้าเมืองนิพพาน นั้นมีอยู่ เป็นที่ที่ไม่ใช่รูปภพและอรูปภพด้วย ด้วยกรรมข้อนี้อย่างเดียว ก็ทำให้มุนีสมณะต้องเสียเวลาในการบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี แต่ในที่สุดเมื่อใช้กรรมเก่าหมดแล้ว พระองค์ก็ทรงสามารถเอาชนะพญามารจนได้
ทำไมพระพุทธองค์ไม่ใช้วิธีแผ่เมตตาให้ผู้ดูแลกฎแห่งกรรม และให้เทพผู้คุ้มครองดวงชะตาเช่น พระราหู หรือ"ไท้ส่วยเอี๊ย" ให้มาเป็นมิตรล่ะ?
วิบากกรรมที่โต้เถียง และแสดงความเห็นที่ขัดแย้งกับพระกัสสปพุทธเจ้าจะได้ไม่มี
ผมคิดว่า มันไม่ใช่กรรมที่หนักหนาอะไร เมื่อมีทัศนะคติขัดแย้งกับผู้มีสัมมาทิฎฐิอย่างพระกัสสปพุทธเจ้า แค่ไม่เชื่อและพูดว่า "จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง" ไม่น่าจะถึงกับต้องรับกรรมถึง 6 ปี
ผมเชื่อว่า พระพุทธองค์ท่านรู้ว่า ถ้าใช้วิธีแผ่เมตตาให้ผู้ดูแลกฎแห่งกรรม คือ พระพุทธเจ้าภาคดำ หรือขอให้พระราหู หรือ "ไท้ส่วยเอี๊ย" ช่วยเหลือ พญามารก็นำวิบากกรรมนี้มาเล่นงานท่านไม่ได้ แต่พระพุทธองค์ไม่ยอมใช้วิธีให้พระเจ้าและเทพใดๆช่วยเหลือ ต้องการใช้วิธีปกติของมนุษย์ทั่วไป ที่ใช้ความคิดทางบวกและการมานะอย่างเดียวนำไปสู่ความสำเร็จและความมุ่งหมาย
นั่นแหละผมจึงตั้งกระทู้ว่า มุนีสมณะใช้วิธี "ลิขิตของฟ้าหรือจะสู้มานะของคน" ถึง 6 ปีจึงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ถ้าขอความช่วยเหลือจากพระพุทธเจ้าภาคดำ ที่ดูแลเรื่องกฎแห่งกรรม หรือ ขอความช่วยเหลือจากเทพบริวาร เช่น พระราหู และ ไท้ส่วยเอี๊ย มุนีสมณะอาจจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพระพุทธเจ้าโคดมในเวลา 3 วันก็ได้
ผู้คนและพระสงฆ์ส่วนใหญ่จะรู้เพียงว่า ที่พระโคดมพุทธเจ้าใช้เวลานานขนาดนั้น ทั้งๆที่ได้บารมี 30 ทัศครบถ้วนมาแล้วตั้งแต่ในสมัยที่เป็นพระเวสสันดร เพราะพระองค์โดนบรรดามารและพญามารกลั่นแกล้ง คำตอบเช่นนี้ยังไม่ตรงประเด็นเท่าไร เนื่องจากมารและพญามารจะกลั่นแกล้งไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากบารมี 30 ทัศของเจ้าชายสิทธัตถะสมบูรณ์ไปแล้วก่อนที่จะลงมาเกิด
ผู้ที่ขัดขวางการบรรลุธรรมของพระองค์ คงต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพระองค์เอง เมื่อผมไปสืบเสาะดู จึงพบความจริงว่า ที่มุนีสมณะต้องใช้เวลาบำเพ็ญเพียรนานมาก เพราะในอดีตชาติอันไกลโพ้น (ที่ไม่ใช่โลกมนุษย์ใบนี้ในมิตินี้) ท่านเคยพูดจาบจ้วง พระพุทธเจ้ากัสสปะ..
ฟังคำสารภาพความจริงจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้านะครับ
"ในกาลนั้น เราได้เป็นพราหมณ์ชื่อ โชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก(ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด
(บัดนี้)เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน...."
ตอนนี้คงพอเข้าใจแล้วว่า กรรมที่ไปเถียง และไม่เชื่อในถ้อยคำของพระกัสสปปะพุทธเจ้า เป็นตัวดึงให้พญามารตามรังควานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดตั้งแต่ครั้งทรงออกผนวช พญามารก็เอาสมบัติจักรพรรดิมาล่อ แต่ไม่สำเร็จ จึงมาปิดบังจิตของพระองค์ ไม่ให้รู้เห็นว่า ทางสายกลางเข้าเมืองนิพพาน นั้นมีอยู่ เป็นที่ที่ไม่ใช่รูปภพและอรูปภพด้วย ด้วยกรรมข้อนี้อย่างเดียว ก็ทำให้มุนีสมณะต้องเสียเวลาในการบำเพ็ญเพียรทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี แต่ในที่สุดเมื่อใช้กรรมเก่าหมดแล้ว พระองค์ก็ทรงสามารถเอาชนะพญามารจนได้
ทำไมพระพุทธองค์ไม่ใช้วิธีแผ่เมตตาให้ผู้ดูแลกฎแห่งกรรม และให้เทพผู้คุ้มครองดวงชะตาเช่น พระราหู หรือ"ไท้ส่วยเอี๊ย" ให้มาเป็นมิตรล่ะ?
วิบากกรรมที่โต้เถียง และแสดงความเห็นที่ขัดแย้งกับพระกัสสปพุทธเจ้าจะได้ไม่มี
ผมคิดว่า มันไม่ใช่กรรมที่หนักหนาอะไร เมื่อมีทัศนะคติขัดแย้งกับผู้มีสัมมาทิฎฐิอย่างพระกัสสปพุทธเจ้า แค่ไม่เชื่อและพูดว่า "จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง" ไม่น่าจะถึงกับต้องรับกรรมถึง 6 ปี
ผมเชื่อว่า พระพุทธองค์ท่านรู้ว่า ถ้าใช้วิธีแผ่เมตตาให้ผู้ดูแลกฎแห่งกรรม คือ พระพุทธเจ้าภาคดำ หรือขอให้พระราหู หรือ "ไท้ส่วยเอี๊ย" ช่วยเหลือ พญามารก็นำวิบากกรรมนี้มาเล่นงานท่านไม่ได้ แต่พระพุทธองค์ไม่ยอมใช้วิธีให้พระเจ้าและเทพใดๆช่วยเหลือ ต้องการใช้วิธีปกติของมนุษย์ทั่วไป ที่ใช้ความคิดทางบวกและการมานะอย่างเดียวนำไปสู่ความสำเร็จและความมุ่งหมาย
นั่นแหละผมจึงตั้งกระทู้ว่า มุนีสมณะใช้วิธี "ลิขิตของฟ้าหรือจะสู้มานะของคน" ถึง 6 ปีจึงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ถ้าขอความช่วยเหลือจากพระพุทธเจ้าภาคดำ ที่ดูแลเรื่องกฎแห่งกรรม หรือ ขอความช่วยเหลือจากเทพบริวาร เช่น พระราหู และ ไท้ส่วยเอี๊ย มุนีสมณะอาจจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพระพุทธเจ้าโคดมในเวลา 3 วันก็ได้
0 comments:
แสดงความคิดเห็น