A A

8 มีนาคม 2558

ประวัติศาสนาโลกที่ถูกต้อง ฉบับ Phonsak เขียนเอง ภาค 2

ในภาคแรก  ผมได้พูดถึงศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เริ่มจากพระเจ้าที่มีองค์เดียว  แบ่งแยกตัวเองออกเป็น 3 พระองค์ คือ
1. พระพรหม(โลกุตระ)  =  ผู้สร้างโลก  
2. พระนารายณ์หรือพระวิษณุ  = ผู้รักษาโลก
3. พระศิวะหรือพระอิศวร  =  ผู้ทำลายโลก (เพราะมีคนชั่วมาก)

แต่พระเจ้าหรือเทพเจ้า 3 พระองค์นั้น  แท้จริงก็เป็นองค์เดียวกัน  เรียกว่า "ตรีมูรติ"  เพียงแต่แยกจิตมหาบริสุทธิ์ของท่าน  ไปทำหน้าที่ที่แตกต่างกันเท่านั้น

ต่อมาผมพูดถึง  ศาสนาโซโรอัสเตอร์  ที่เข้าใจถูกต้องเช่นกันว่า พระเจ้าที่มีองค์เดียว  โดยระบุว่า  
"พระเจ้าคือแสงสว่าง"  แต่ศาสนาโซโรอัสเตอร์ไปเข้าใจผิดว่า  แสงสว่างนั้นคือไฟ  จึงมีเรื่องการบูชาไฟ เพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง  ทั้งๆที่แสงสว่างที่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น  เป็นแสงสว่างในใจของเรา  ที่เห็นและรับรู้ได้จากการทำสมาธิขั้นสูง

ศาสนาพราหมณ์ และ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ เป็นการปูพื้นฐานไปสู่ ศาสนาพุทธ

เพราะการจะกลับเข้าไปเป็นอาตมัน  เพื่อไปรวมกับปรมาตมัน  ก็คือ  การดับความทุกข์ทั้งปวงนั่นเอง  
อาตมัน นั้นแท้จริง คือ อรหันต์  ส่วนปรมาตมัน คือ พระเจ้าหนึ่งเดียว  ที่อวตารตัวเองลงมาเป็นพระธรรม หรือ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์คนสุดท้ายคือ โคตมะพระพุทธเจ้า  หรือ พระโคดมพุทธเจ้า

อาตมัน  ไปรวมกับ ปรมาตมัน = อรหันต์สาวกต่างๆ ไปรวมกับ พระโคดมพุทธเจ้า

พระโคดมพุทธเจ้าได้ชี้ว่า  การจะสิ้นทุกข์ถาวรได้  จิตนั้นจะต้องว่าง ไม่ยึดมั่นถือว่า ทุกสิ่งในโลกเป็นของจริง  ต้องรู้และเข้าใจว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่ภาพมายาเสมือนจริง  มาทดสอบจิตของเราเท่านั้น

- เมื่อไรที่เราไม่ปล่อยวาง ไปยึดมั่นถือว่า นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา  เราก็จะเป็นทุกข์ เมื่อไม่ได้สิ่งเหล่านั้นมาเสพ
- เมื่อไรที่เราปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือว่า นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา  เราก็จะไม่เป็นทุกข์ เมื่อไม่ได้สิ่งเหล่านั้นมาเสพ

หลักการแห่งความสุขแท้จริง และสุขบริสุทธิ์  อยู่ต้องนี้เอง...เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความว่าง   

ถ้าเราเสียสิ่งใดไป  ไม่ได้เสพสิ่งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นเสียเงินทอง เสียลูก เสียเมีย เสียร่างกายของเรา  เราก็ไม่เสียใจ  เมื่อเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง  บุญไม่มาตอนนั้น  ก็ไม่ได้เสพ

พอเราได้สิ่งใดมาเสพ  ไม่ว่าจะได้เงิน ทอง ลูก เมีย รถยนต์ ได้ชื่อเสียง ฯลฯ  เมื่อเราเสพสิ่งนั้นไปแล้ว  ก็ไม่ดีใจเกินเหตุ  ต้องรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง การได้มาหรือเสียไป  เป็นผลจากบุญกุศลของเราเท่านั้นเอง  การเกิด แก่ เจ็บ ตายของเราก็เช่นกัน  ล้วนมาจากบุญกุศล  และบาปอกุศลของเรา ทำให้มันเป็นไปเช่นนั้นเอง

แม้ว่าพระพุทธเจ้า  จะได้ชี้ทางการออกจากโลกมนุษย์ ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ต้องปฏิบัติจิตให้บริสุทธิ์เพื่อไปอยู่ในเมืองพระนิพพาน ซึ่งไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย  แต่การออกจากการเวียนว่ายตายเกิด  คือ ออกจากสังสารวัฏด้วยตัวเองนั้นทำได้ยากมากๆๆๆ  เพราะฉะนั้น โคตมะพระพุทธเจ้า จึงสอนหลักสำคัญที่สุดที่จะอยู่ในสังสารวัฏนี้ได้อย่างเป็นสุข คือ 
"การสำนึกบาป"  ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า "การก้าวล่วงบาปกรรม"

อย่างไรก็ตาม พุทธศาสนาฝ่ายปริยัติของเถรวาทต่างอยู่ภายใต้อำนาจของมาร  เรื่อง
"การสำนึกบาป" หรือ "การก้าวล่วงบาปกรรม"  คณะสงฆ์ฝ่ายปริยัติจึงไม่ค่อยมีการพูดถึง  เพราะพญามารเขาไม่ต้องการให้คนในศาสนาพุทธรู้ความจริงเรื่องนี้  จะได้เวียนว่ายตายเกิด และอยู่ในอำนาจการปกครองของเขาต่อไป

ส่วนในศาสนาพุทธมหายาน  โคตมะพระพุทธเจ้าเห็นว่า  คงจะมีเพียงน้อยคนที่จะหลุดออกจากสังสารวัฏได้  พระพุทธองค์จึงได้ชี้ทางให้มนุษย์ไปพึ่งบารมีพระพุทธเจ้า  นามว่า 
"พระอมิตาพุทธ  หรืออมิตาภะพุทธเจ้า"  จะได้ไปอยู่ในดินแดนพุทธเกษตรสุขาวดีที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป

ก็เหมือนเดิม  พญามารได้ปิดบังจุดใหญ่ของการจะเข้าไปอยู่ในแดนสุขาวดีไว้อีก  คือ  ผู้จะเข้าไปในอยู่ในแดนสุขาวดี  จะต้องเป็นผู้สำนึกในบาปได้เท่านั้น  โดยเฉพาะภาพนิมิตของบาป 5 นาทีสุดท้าย  ถ้ามนุษย์คนนั้นไม่มีการสำนึกในบาปนั้นเลย  ประตูทางเข้าแดนสุขาวดีก็จะถูกปิดสำหรับเขา

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง  จึงมีจิตมนุษย์ในโลกนี้อีกนับไม่ถ้วน  ที่ไม่สามารถหนีหลุดออกจากสังสารวัฏ  องค์พระผู้เป็นเจ้าหนึ่งเดียวจึงได้ส่งพระบุตร ที่เป็นพระเจ้า หรือเป็นอรหันต์โพธิสัตว์  ที่มีนามว่า  พระเยซู คริสต์ ลงมา

0 comments:

แสดงความคิดเห็น