A A

22 มีนาคม 2558

ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับนิพพาน

อ้างจาก: pom

พอดีผมฟัง ท่าน ช พูดและที่ท่าน ช เขียน

1..ที่พูดว่าดับ กิเลส ดับ ราคะ โทสะ โมหะ แล้ว นิพพาน สู่สวรรค์นิรันดร์ ผมสงสัยมาก
2..ถามผู้รู้มาหลายท่านว่า นิพพาน คือสภาพที่ว่าง ดับหมดไม่มีอะไรอีกแล้ว 
3..ในเมื่อ กิเลสดับหมด แล้วจะเป็นอมตะไปทำไมครับ เหมือนกับการนั่งเฉย ๆ บนสวรรค์ ....... อมตะในสวรรค์นิรันดร์ เป็นทุกข์นะครับ สู้ความสุขแท้จากการนอนหลับ หรือกินยานอนหลับไม่รู้เรื่องอะไรไม่ได้เลย

ตอบ

คุณถามได้ดีมากๆเลย  ความเข้าใจผิดทั้งหมดของพระและปุถุชน  มันเป็นเพราะพญามารเขาปิดบังไม่ให้พวกเรารู้ความจริงว่า  

1. นิพพานที่พระพุทธเจ้าพูดถึง มี 2 ตัว
1) อายตนะนิพพานด้วย  2) นิพพานแท้หรือปรินิพพาน  
อายตนะนิพพานประกอบด้วย


- อายตนะภายใน = กายหรือขันธ์,  อายตนะภายนอก = เมือง และ บ้าน และสิ่งภายนอกอื่นๆ
- นิพพาน = จิตว่าง ไม่มีกิเลส ไม่มีตัณหา  ไม่มีโลภโกรธหลง   เพียงแต่รู้ว่า  กายที่เป็นอายตนะภายใน และเมือง ฯลฯ เป็นอวัยวะภายนอก   สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ จิตว่างหรือจิตนิพพานเนรมิตขึ้นมาเพื่อใช้งานเท่านั้น

นี่คือ นิพพานข้อที่ 1) ที่พระพุทธเจ้าพูดถึง ที่มีอายตนะนิพพานด้วย  คือ มีเมืองและกายด้วย

2. ส่วนที่ผู้รู้หลายท่านบอกว่า นิพพาน คือสภาพที่ว่าง ดับหมดไม่มีอะไรอีกแล้ว  นั่นคือ 
ข้อ 2) นิพพานแท้หรือปรินิพพาน  มีแต่จิตว่างที่อยู่ในความว่างอยู่เท่านั้น  อย่างอื่นข้างนอกไม่มีห่าอะไรอยู่เลย  เพราะจิตว่างหรือจิตนิพพานไม่ต้องการเนรมิตอะไรขึ้นมาอีกนั่นเอง

3. 
"ในเมื่อ กิเลสดับหมด แล้วจะเป็นอมตะไปทำไมครับ"  นั่นคือนิพพานที่มีอายตนะ มีกายและมีเมืองให้อยู่  นิพพานตัวนี้ยังไม่ทิ้งกายและเมือง กายและจิตนิพพาน ล้วนเป็นอมตะ  

จุดประสงค์ใหญ่สุด ที่ต้องมีกายและจิตอมตะ  ก็เพื่อจะได้อยู่เป็นพระโพธิสัตว์อมตะ  หรือเป็นพระเจ้าอมตะ หรือเทพเจ้าอมตะ  ทั้งนี้เพื่อจะได้ช่วยงานใน 3 ภพต่อไป ให้ทุกจิตที่ยังไม่บริสุทธิ์ ได้เข้าถึงเมืองนิพพานหรือสวรรค์นิรันดรให้ได้  พวกเทพเจ้าอมตะเหล่านี้มีงานยุ่งกว่ามนุษย์อีก แต่ไม่มีทุกข์ เพราะจิตว่างอย่างเดียว

ตัวอย่างเช่น  
"กฎแห่งกรรม"  มันไม่ได้ทำงานเองนะครับ  มีพวกเทพเจ้าเป็นคนนำความดีความชั่วมาให้รางวัลและมาลงโทษมนุษย์   แต่พระพุทธเจ้าภาคดำท่านทำข้อตกลงกับพระพุทธเจ้าของเราว่า  ห้ามพูดถึงใครอยู่เบื้องหลังการทำงานของกฎแห่งกรรม  พระพุทธเจ้าของเราก็เลยพูดให้เถรวาทฟังไม่มาก  บอกว่ามันเป็นเรื่องใบไม้นอกกำมือ

คุณรู้หรือเปล่า..... กว่าผมจะบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์อรหันต์ได้  ต้องใช้ทีมงานพระเจ้า 15 องค์ช่วยกันเคี่ยวเข็ญให้ผมบรรลุธรรม  ต่างสลับกันมาช่วยผม พอผมบรรลุธรรมแล้ว  หายหน้าไปหมดเลย  ว่าจะถามธรรมะสูงสุดต่อสักหน่อย  พวกท่านก็ไม่มาซะแล้ว

4.  
"เป็นอมตะในสวรรค์นิรันดร เป็นทุกข์นะครับ สู้ความสุขแท้จากการนอนหลับ หรือกินยานอนหลับไม่รู้เรื่องอะไรไม่ได้เลย"  ผู้จะเข้าถึงความเป็นอมตะได้  จิตต้องว่าง รู้ก็สักแต่ว่ารู้  เห็นก็สักแต่ว่าเห็น  ต้องไม่มีความโกรธ เกลียด ฯลฯ เลย  ไม่งั้นเป็นอมตะไม่ได้  โดยเฉพาะพวกพระเจ้ามาคุยกับผม ซึ่งเป็นพวกไพร่สถุลด้วยแล้ว  คุยกับพระเจ้าเหมือนคุยกับเพื่อนเล่น  กวนตีนพวกท่านสถานเดียว  แล้วสงสัยแม่งทุกเรื่อง  พวกท่านก็ยังไม่ว่าอะไร  ยังชมอีก  บอกว่านิสัยของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น  พวกท่านจะต้องรู้ทุกเรื่องจนเป็นสัพพัญญู

อ้อ!  สุขใดๆจะเสมอเหมือนความสงบนั้นไม่มี  ถ้าว่างอย่างยิ่งแล้วก็เป็นนิพพาน  นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง = ความว่างอย่างยิ่งเป็นสุขอย่างยิ่ง  

ที่คุณพูดว่า 
"ความสุขแท้จากการนอนหลับ หรือกินยานอนหลับไม่รู้เรื่องอะไรเป็นสุขอย่างยิ่ง" ผมว่าใกล้เคียงกับอรูปพรหมมากกว่า  เพราะอรูปพรหม จิต(สังขาร)มันหลับยาวชั่วกัลปาวสาน  แล้วจิต(สังขาร)ก็ต้องตื่นขึ้นมารับทุกข์ต่อไป  เมื่อมันพ้นจากการหลับสนิทที่นานแสนนาน

นิพพานแท้หรือปรินิพพาน เป็นการหลับตลอดกาลเหมือนกัน  แต่มีจิตว่างตลอดกาลอยู่ (ไม่ใช่จิตสังขารนะครับ) เพียงแต่จิตว่างตัวนี้ไม่ได้ฝัน  มันจึงไม่มีทุกข์

นิพพานที่มีกายมีบ้านมีเมือง เป็นจิตว่างตลอดกาลเหมือนกัน ไม่มีทุกข์เหมือนกัน  เพราะไม่ได้เอาเรื่องราวภายนอกมาคิดนึก การคิดนึก คือการปรุงแต่ง เป็นเหตุแห่งทุกข์  

ต่อไปนี้เป็นแต่การเปรียบเทียบสมมุติทางโลก กับนิพพาน ซึ่งเป็นวิมุตินะครับ


นรก = ฝันร้ายเสมือนของจริงในโลกมนุษย์  ฝันไฟไหม้ร่าง ก็เสมือนจริงว่าไฟกำลังไหม้ร่าง

สวรรค์ = ฝันดีเสมือนของจริงในโลกมนุษย์  ฝันมีอาหารชั้นเลิศกิน  ก็เสมือนจริงว่ากำลังแดกห่าสุดยอดอาหารโคตรอร่อยอยู่

นิพพาน = สวรรค์นิรันดร  ฝันอยู่ในสถานที่ที่ดีที่สุด เนรมิตอะไรก็ได้ทั้งนั้น  จะเป็นอะไรก็ได้  และตนเองไม่มีวันตาย  ที่สำคัญรู้ตัวอยู่เสมอว่า ทุกอย่างที่ตนเองรู้เห็นเป็นเพียงมายา  ที่ตนเองเนรมิตออกมาเท่านั้น  ไม่ต้องการอยู่ในที่เนรมิตเมื่อไรก็เข้าฌานไป

ปรินิพพาน = กูเลิกฝันแล้ว  กูไม่ฝันว่าอยู่ในสถานที่ที่ดีที่สุดแล้ว ไม่ฝันว่ากูเนรมิตอะไรก็ได้แล้ว  กูดับสวิทช์ความคิดกูไปเลยตลอดกาลเลย  มีแต่จิตว่างที่เสมือนนอนหลับสนิทอย่างเดียว แต่ตัวจิตตัวนี้ยังนึกคิดได้อยู่  เพียงแต่มันสงบจากการนึกคิดตลอดเท่านั้น  มันจึงมีความสุขกว่าการนอนหลับสนิทที่จิตไม่รับรู้อะไรเลย  เพราะสุขใดๆจะเสมอเหมือนด้วยความสงบนั้นไม่มี

สัมโภคกาย = พระวิญญาณบริสุทธิ์ = กายทิพย์บริสุทธิ์ที่เป็นอมตะ = กายที่จิตบริสุทธิ์เนรมิตออกมาเพื่อใช้งาน  สิ่งนี้ก็คือ พระเจ้า หรือพระโพธิสัตว์อรหันต์ ที่แสดงบทบาทอยู่ในเมืองนิพพาน หรือในสวรรค์นิรันดร

ธรรมกาย = กายที่อยู่ในนิโรธ คือ จิตสงบ นึกคิดอย่างไรอยู่ ก็ให้สงบและทรงอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา  ไม่เคลื่อนความนึกคิดไปเรื่องอย่างอื่น

0 comments:

แสดงความคิดเห็น