A A

8 มีนาคม 2558

ศาสนามีเพียงหนึ่ง แต่แยกเป็น 2 - พึ่งตนเอง และ ที่พึ่งความเชื่อ/ศรัทธา ในพระเจ้า

1. แท้จริงศาสนามีเพียงศาสนาเดียว คือ ศาสนาที่หาทางพ้นทุกข์ถาวร ออกจากการเวียนว่ายตายเกิด
จริงๆศาสนามีเพียงศาสนาเดียว  คือ ศาสนาที่สอนและนำจิตวิญญาณให้พ้นทุกข์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

สัจธรรมสูงสุดก็มีเพียง 1 เดียว คือ สัจธรรมสูงสุดที่ว่า  พวกเราทั้งหมดเคยเป็นพระเจ้ามาก่อน หรือพวกเราทั้งหมดเคยเป็นจิตมหาบริสุทธิ์มาแล้วทั้งนั้น  แต่เดิมพวกเราไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง  ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น  จิตของพวกเราเป็นจิตประภัสสร  เป็นนิพพานจิต ที่มหาบริสุทธิ์

"จิตประภัสสร" หรือ "จิตเดิมแท้"  หรือจิตมหาบริสุทธิ์ของเรา เป็น"แก่นแท้แห่งจิต" ของเรา  มาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว  ก่อนที่จะเกิดโลกใบนี้ และก่อนที่จะเกิดจักรวาลด้วย


2. พระเจ้าหนึ่งเดียวโดดเดี่ยว  จึงต้องแยกตัวเองเป็นพระเจ้านับไม่ถ้วน และเริ่มเล่นเกมค้นหาตัวเอง
พระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว  เป็นจิตมหาบริสุทธิ์  แต่พระเจ้าสามารถอวตารแยกอณูมหาบริสุทธิ์(อรหันต์หรือพระบุตร)ของท่านออกไปได้เป็นอนันต์อณู  และพระองค์ก็ทำอย่างนั้นด้วย  ทั้งนี้เพราะว่าพระเจ้าหนึ่งเดียวนั้น ต้องอยู่เป็นนิจนิรันดร์ตามลำพังในความว่างเปล่า  ที่เป็น 0 หรือเป็นอนัตตา  พระเจ้าที่มีเพียงหนึ่งเดียว พระองค์จึงเปล่าเปลี่ยว  พระองค์จึงต้องหาเกมส์อะไรเล่นสักอย่าง  ดีกว่าอยู่ว่างๆชั่วนิรันดร

เกมที่พระองค์เล่น  ก็เล่นกับคนอื่นไม่ได้ซะด้วย  เพราะไม่มีสิ่งใดอยู่เลยนอกจากความว่างเปล่า  พระเจ้าจึงต้องเล่นกับตัวของพระองค์เอง และเล่นกับความว่างเปล่านั้น  ด้วยเหตุที่ พระเจ้ามีฤทธานุภาพอันไม่จำกัด  เมื่อเริ่มเล่นเกมส์  อย่างแรกที่พระเจ้าที่มีเพียงหนึ่งเดียวได้ทำและต้องทำคือ  อวตารแยกอณูมหาบริสุทธิ์ของตัวท่านเอง ออกไปเป็นอนันต์อณู หรืออนันต์อรหันต์  หรือไปเป็นพระบุตรที่มีจำนวนนับไม่ถ้วน  

ปัญหาคือ  อณูมหาบริสุทธิ์เหล่านั้น ต่างก็เป็นตัวของพระเจ้าทั้งสิ้น  ทั้งหมดจึงมีความเป็นสัพพัญญู มีฤทธานุภาพเท่ากันหมด  แล้วเกมการเล่นมันจะไปสนุกตรงไหนล่ะ  พระเจ้าที่มีเพียงหนึ่งเดียว  แต่มีอนันต์อณู  จึงกำหนดกฎเกณฑ์ความรู้ ความสามารถ และการเข้าถึงความรู้ ความสามารถ พร้อมฤทธานุภาพเหล่านั้นไว้  แล้วให้อณูของพระเจ้า ที่ต้องการไปลิ้มลองความไม่เป็นอมตะ รวมทั้งลิ้มลองความสุขแบบอื่น และการใช้ชีวิตแบบอื่น  นอกเหนือจากใช้ชีวิตแบบจิตว่าง  และเสพความสุขบริสุทธิ์จากจิตว่างและอมตะ  สามารถไปลิ้มลองความสุขแบบอื่น และการใช้ชีวิตแบบอื่นได้  แต่มีข้อแม้ว่าจิตเหล่านั้นจะต้องลืมว่าตนเองเป็นพระเจ้า

พูดง่ายๆ  ศาสนาเกิดขึ้นเพราะว่า  พวกเราเหล่าพระเจ้าดันเสือกอยากออกจากภาวะจิตว่าง = อยากออกจากภาวะความเป็นอมตะของตัวเอง  เพื่อมาลองอยู่ในภพภูมิอื่นๆที่ไม่ใช่แดนนิพพานอมตะ  ที่เป็นสวรรค์นิรันดร ไม่มีทุกข์ เอาเอง  เราทำตัวเอง  พวกเราจิตมหาบริสุทธิ์ดั้งเดิม จึงกลายมาเป็นพวกเราในปัจจุบันนี้  สุดท้าย...พวกเราก็หาทางกลับเข้านิพพาน สวรรค์นิรันดร  ไปรับสุขบริสุทธิ์ และความเป็นอมตะ เป็นพระเจ้าเหมือนเดิมไม่ได้ยังไงล่ะ  จึงต้องมีศาสนาเกิดขึ้น

แท้จริงศาสนาต่างๆ  ทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ หาวิธีทำให้เราพ้นทุกข์ถาวร ออกจากการเวียนว่ายตายเกิด  แต่เนื่องจาก พวกเราตอนนี้จิตไม่บริสุทธิ์แล้ว และยังมีบาปกรรมที่ต้องชดใช้อีก  พวกเราจึงพึ่งตนเองในการทำให้จิตของพวกตนให้กลับมหาบริสุทธิ์เหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว  ทำได้เฉพาะพวกที่สะสมบุญบารมีมามากเท่านั้น  จึงจะทำได้ คือทำให้จิตตนเองเป็นอรหันต์  มหาบริสุทธิ์เหมือนเดิม

3. ศาสนาที่มีเพียงศาสนาเดียว จำเป็นต้องแยกเป็น 2 ศาสนา

ด้วยเหตุที่การจะกลับไปเป็นพระเจ้าได้อีก  เป็นสิ่งที่ยากมากๆ  ศาสนาต่างๆที่มีเพียงศาสนาเดียว จึงต้องแยกเป็น 2 ศาสนา คือ

1.  ศาสนาที่ต้องพึ่งตัวเอง ปฏิบัติเอง  สะสมบุญบารมีเอง เช่น ศาสนาพุทธเถรวาท
2.  ศาสนาที่ต้องพึ่งความเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าที่มีเพียงหนึ่ง เช่น  ศาสนาอิสลาม  และศาสนาคริสต์  

ศาสนาคริสต์รู้ว่า  พระเจ้าที่มีเพียงหนึ่ง สามารถอวตารแยกตัวท่านเองออกเป็น 3 - พระบิดา พระบุตร และพระจิต  ในขณะที่ศาสนาอิสลามอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ได้  แต่ไม่เชื่อและไม่ศรัทธาเช่นนั้น

4. พระเจ้ามีเพียงหนึ่ง = จิตมหาบริสุทธิ์  แต่แบ่งเป็น 3 หรือจะแบ่งเป็นอนันต์ก็ได้

พระเจ้าที่มีเพียงหนึ่ง หรืออวตารออกเป็น 3 ก็ดี  แท้จริง 3 ที่ว่านั้น - พระบิดา พระบุตร และพระจิต  ก็คือ พระรัตนตรัยนั่นเอง

พระพุทธ = พระเจ้าที่เป็นพระบิดา  
พระธรรม = พระเจ้าที่เป็นผู้สอน เป็นตถาคต  
พระสงฆ์ =  พระบุตรที่บรรลุธรรมเป็นพระเจ้าหรือพระอรหันต์ เนื่องจากพระธรรม(ตถาคต หรือ พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์องค์ใดองค์หนึ่งสอนให้ท่านบรรลุธรรม)

ด้วยเหตุนี้  พระเจ้ามีเพียงหนึ่ง = จิตมหาบริสุทธิ์  จึงสามารถแบ่งตัวเองเป็น 3 (พระรัตนตรัย)  หรือ จะพูดว่า พระเจ้าแบ่งตัวเองออกเป็นอนันต์ก็ได้  และจะพูดว่า  มีพระบุตรพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวก็ได้ ก็คือ อรหันต์(จิตมหาบริสุทธิ์)  หรือจะพูดว่า มีพระบุตร คือพระอรหันต์จำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้ทั้งนั้น  สำคัญที่ จิตเหล่านั้นต้องเป็นจิตมหาบริสุทธิ์

5. เหตุที่จิตมหาบริสุทธิ์ของพวกเราไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป

ด้วยเหตุที่  พวกเราอยากลองเสพความสุขอย่างอื่น  และอยากลองเสพความไม่เป็นอมตะดูบ้าง  ไม่ใช่เอาแต่เสพแต่ความสุขอันประเสริฐจากจิตว่างจากการคิดปรุงแต่งอย่างเดียวชั่วนิรันดร  เราอยากรู้และต้องการรู้ว่า  การเสพสุขจากกิเลส ตัณหา อวิชชา  มันมีรสชาติดีกว่า หรือ รสชาติเลวกว่า การเสพสุขจากความว่างเพียงใด

พวกเราอยากหาเรื่องเอง  พวกเราเหล่าพระเจ้าจึงอนุญาตให้กิเลส ตัณหา อวิชชา และความยึดมั่นถือมั่นต่างๆเข้ามาหลอกลวงจิตปภัสสรของเราให้เป๋ได้  และยังให้มันอาศัยอยู่ในจิตปภัสสรได้ด้วย  จิตปภัสสรอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของเราจึงต้องแปดเปื้อนสกปรกไป  กลายเป็นจิตสังขาร หรือจิตคิดปรุงแต่ง  หรือจิตติดกรรมเวร

6. ผลของการที่จิตปภัสสรกลายเป็นจิตไม่ปภัสสร

เมื่อกิเลส ตัณหา อวิชชา และความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ เข้ามาหลอกลวงจิตปภัสสรของเราได้แล้ว  และเรายังให้อนุญาตมันสามารถอาศัยอยู่ในจิตปภัสสรของเราได้ด้วย  ถ้าเราให้จิตปภัสสรอยู่ร่วมกับจิตนิพพานมหาบริสุทธิ์ได้อีก  แดนนิพพานอันเป็นแดนอมตะ มหาบริสุทธิ์ ของเหล่าจิตพระเจ้า  ก็จะสลายไป  เหล่าจิตพระเจ้าจึงต้องแยกตัวหรือแยกจิตของตัวเองออกเป็น 2 ส่วน คือ

1. จิตปภัสสรที่ไม่มีกิเลส ตัณหา อวิชชา อยู่ = จิตหลุดพ้น หรือนิพพานจิต
2. จิตปภัสสรที่ยังมีกิเลส ตัณหา อวิชชา อยู่ไม่มากก็น้อย = จิตสังขาร (จิตคิดปรุงแต่ง) หรือจิตในปฏิจจสมุปบาท  หรือจิตต้องชดใช้กรรม หรือ จิตติดหนี้กรรม

จิตมหาบริสุทธิ์ หรือ จิตจิตหลุดพ้น ก็อยู่ในนิพพานบ้านเดิมของเราตามเดิม  
ส่วนจิตอื่น ที่เป็นจิตประภัสสรที่ไม่บริสุทธิ์  ก็ต้องให้เลื่อนชั้นลงมาอาศัยอยู่ในภพภูมิอื่นๆที่ไม่ใช่แดนนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)แทน  โดยเราพระเจ้าหรือเหล่าพระเจ้าได้สร้างโลกสารพัดมิติ สร้างสวรรค์ นรก พรหมโลก อบายภูมิ ขึ้นมา 31 ภพภูมิ(เรียกแบบพุทธเถรวาท) หรือ 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน (เรียกแบบเต๋า)  เพื่อให้จิตที่เสียความบริสุทธิ์เหล่านั้น ได้ไปอาศัยอยู่ในภพภูมิที่เหมาะสมกับสภาพจิตของตนเอง

- ที่สำคัญ...ภพภูมิอื่นๆ  ไม่ว่าจะสวรรค์ นรก โลก พรหมโลก ล้วนอยู่ภายใต้กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย  และกฎแห่งอนิจจังทั้งนั้น  
- มีที่เดียวที่เป็นนิจจัง เป็นนิรันดร ไม่มีทุกข์อยู่ คือ นิพพาน สวรรค์นิรันดรเท่านั้น  เพราะผู้ที่อยู่ในนิพพานได้  จิตจะต้องว่างเปล่าจากกิเลส ตัณหา อวิชชา และความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ  

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า  
"ดูกรภิกษุ คำว่า ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ..... ดูกรภิกษุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตะ"

7. ย้ำเรื่องภพภูมิต่างๆอีกครั้งหนึ่ง

เราเหล่าจิตพระเจ้า  ได้สร้างภพภูมิใหม่ต่างๆขึ้นมาเต็มไปหมด  เพื่อให้จิตที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านั้นอยู่  ตามสภาพจิตของตน

ภพภูมิใหม่ต่างๆเหล่านั้น คือ  พรหมโลกและภพภูมิ 31 ภพภูมิ
(แบ่งตามแบบพุทธเถรวาท)นั่นเอง  เนื่องจากจิตพระเจ้าส่วนหนึ่งได้ตกภูมิจากนิพพานจิตว่างตลอด  ลงมากลายเป็นพรหมชั้นโลกียะ ซึ่งจิตว่างไม่ตลอด  จิตอีกส่วนหนึ่งได้ตกภูมิตกไปต่ำกว่าชั้นพรหมอีก  ตกลงมาเรื่อยๆ(downgrade)  จนลงมาอยู่ในสวรรค์ชั้นโลกีย์  แล้วในที่สุดทุกจิตก็ตกลงมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นชั้นกลาง ที่ไม่ว่าจิตสกปรกที่สุดหรือจิตสะอาดที่สุด  ทุกจิตทุกระดับจะอาศัยอยู่ปะปนกันไป  

จิตที่สกปรกที่สุด  สิ้นความเป็นจิตปภัสสรไปแล้ว  และกล้ากระทำบาปมหันต์ชนิดที่อภัยไม่ได้  บางส่วนก็ลงลึกต่ำลงไปอยู่ในภพภูมิชั้นต่ำสุด  ซึ่งเป็นชั้นสัตว์นรกอเวจี  และชั้นสัตว์นรกโลกันตร์  

ที่เป็นเช่นนี้  เพราะเราพระเจ้าไปให้อำนาจพญามาร และซาตานสามารถหลอกลวงจิตปภัสสรของเราให้ชั่วและเลวที่สุดได้นั่นเอง

8. การหลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิด กลับเข้าไปในนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)ใหม่ ทำได้หลายทาง

ก่อนอื่น  เราต้องรู้ว่า การที่เราต้องเกิด  ต้องแก่  ต้องเจ็บ และต้องตาย  นั่นก็เป็นเพราะบาปกรรมที่เราก่อไว้นั่นเอง  การจะออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิด(สังสารวัฏ) ซึ่งเป็นเส้นทางหลักหรือทางใหญ่  ออกไปจากทุกข์ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อเราตกภูมิลงมาเป็นมนุษย์แล้ว  เนื่องจากพญามาร พวกมาร และซาตานสามารถหลอกลวงจิตของเราได้เสมอ

ด้วยเหตุนี้  พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงได้สร้างทางดินแดนที่พวกเราไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกแล้ว  ที่เรียกว่า "พุทธเกษตร" เอาไว้  เพื่อไม่ให้จิตมนุษย์ของพวกเราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย และอยู่ในอำนาจพญามารอีก  ไปบำเพ็ญจิตให้บริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อยๆได้เลยในดินแดน "พุทธเกษตร" ที่อยู่ใหม่ของเรา

แต่เมื่ออำนาจพญามารมีสูงล้ำเรื่องการคดโกงและไม่ซื่อ  พญามารและซาตานจึงไม่ให้ชาวพุทธโดยเฉพาะพุทธเถรวาท  รู้วิธีเข้าไปในแดน "พุทธเกษตร"  โดยเฉพาะแดนสุขาวดีเด็ดขาด  
เนื่องจากแดนสุขาวดีนั้นเข้าไปได้ง่ายมาก  เพียงแค่บริกรรมถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้า  หรือท่องอมิตาพุทธ 3 ครั้ง  ขอเข้าไปอยู่ในดินแดนสุขาวดีของพระองค์เท่านั้น  แล้วก็พยายามสำนึกบาปใหญ่ๆในชีวิตเท่าที่ได้  โดยเฉพาะสำนึกบาปก่อนตาย  ซึ่งจะมีภาพความชั่วใหญ่ๆของเราเข้ามาให้เห็น  แค่สำนึกในบาปนั้นเท่านั้น  พระอมิตาและพระโพธิสัตว์อรหันต์หลายองค์  ก็จะมารับจิตวิญญาณของเขาไปอยู่ในแดนสุขาวดีแล้ว  พ้นจากอำนาจของพญามาร และอำนาจของซาตาน  ซึ่งจะนำจิตวิญญาณไปสู่อบายภูมิ และต้องเวียนว่ายตายเกิดบนโลกมนุษย์อีก

9. ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม  เป็นศาสนาที่มานำจิตมนุษย์ไปฝึกจิตในพุทธเกษตรแห่งใหม่ของพระเมสสิยาห์ (Messiah)

เนื่องจากบรรดามารพยายามล่อลวง  แลปิดทางไม่ให้เหล่ามนุษย์รู้ทางเข้าไปในพุทธเกษตรสุขาวดี  ซึ่งเป็นแดนที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีก เพื่อไปฝึกจิตให้บริสุทธิ์ที่นั่น  พวกเราเหล่าพระเจ้า หรือพระเจ้าหนึ่งเดียว - จิตมหาบริสุทธิ์  จึงทำให้เกิดศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามขึ้นมา เพื่อจะได้นำจิตมนุษย์อีกส่วนหนึ่ง  เข้าไปอยู่ในพุทธเกษตรเหล่านั้น จะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก  

ศาสนาคริสต์มีพระเยซูคริสต์เป็นศาสดา  มีที่ไปคือสรวงสวรรค์ของพระคริสต์  ซึ่งเป็นพุทธเกษตรอีกแห่งหนึ่งนอกเหนือจากพุทธเกษตรสุขาวดี  ผู้ที่เชื่อและศรัทธาในพระเยซู  ต้องไปฝึกจิตให้บริสุทธิ์ที่นั่น  เมื่อบริสุทธิ์แล้ว  จึงจะได้เข้าไปอยู่ในนิพพาน สวรรค์นิรันดรของพระบิดา  พระเยซูคริสต์จึงตรัสว่า :

  
เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” ยอห์น 14:6

นอกจากนี้  พระเยซูคริสต์ยังตรัสด้วยว่า :

จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้าง นำไปถึงความพินาศและคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก

จงเข้าไปทางประตูแคบ  =  เข้าไปอยู่ในพุทธเกษตรของพระเยซูก่อน  ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
ประตูใหญ่ที่นำไปถึงความพินาศและคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก = สังสารวัฏ  ต้องเวียนว่ายตายเกิด ตามกฎแห่งกรรม


ส่วนพุทธเกษตรของนบีมูฮัมหมัดก็มีเหมือนกัน  เพราะ
ทั้งพระเยซู และ นบีมูฮัมหมัด ทั้งคู่ล้วนเป็นพระเมสสิยาห์ (Messiah) คือ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

10. พันธะสัญญาเรื่องเมสสิยาห์ (Messiah) หรือเมตตรัย(พระศรีอริยะเมตตรัย) ผู้ช่วยให้รอดในศาสนาคริสต์ อิสลาม และพุทธ

ความจริงแล้ว  พระพุทธเจ้าของเราก็เป็นพระเมสสิยาห์ (Messiah) คือ พระผู้ช่วยให้รอด เหมือนกัน  และเป็นองค์แรกและองค์เดียวที่มีคุณสมบัติเป็นสัพพัญญูด้วย  แต่เพราะพวกเราเหล่าพระเจ้ากำหนดกฎเกณฑ์ว่า  ตถาคตผู้จะเป็นสัพพัญญูได้  และเป็นผู้รู้ความจริงทั้งหมด  สามารถสอนความจริงทุกเรื่องได้  จะมีเพียงองค์เดียวในโลกใบหนึ่ง

พระพุทธเจ้าจึงมีได้เพียง 1 องค์ ในโลกธาตุเดียวกัน  ไม่สามารถมีได้ถึง 2 องค์  และพระพุทธองค์ผู้เป็นตถาคตก็มาแล้ว  จึงส่งพระพุทธเจ้าที่เป็นตถาคตมาอีกคนไม่ได้  พวกเราเหล่าพระเจ้าจึงต้องหาทางออก  เพื่อช่วยให้มนุษย์เข้าไปอยู่พุทธเกษตรได้มากขึ้น  โดยการส่งพระบุตรที่เป็นพระเมสสิยาห์ (Messiah) พระผู้ช่วยให้รอดลงมาแทนตถาคต  ผู้ที่เชื่อและศรัทธาในพระเมสสิยาห์ (Messiah) ก็จะได้ไปอยู่ในพุทธเกษตรของเมสสิยาห์องค์นั้น  ที่ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตายอีก  ไปฝึกจิตให้บริสุทธิ์เพื่อเข้านิพพาน สวรรค์นิรันดร ที่นั่น  

ตามพันธะสัญญาเดิมที่พระเจ้า(จิตมหาบริสุทธิ์) สัญญาไว้กับบุตรของอับราฮัม 2 คนนั้น  สัญญาแตกต่างกัน  พระเจ้าจึงจำเป็นต้องส่งเมสสิยาห์ (Messiah)มาให้ทั้งศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม  เพราะพระเยซูสืบเชื้อสายมาจาก บุตรของอับราฮัมที่ชื่อ อิสอัค(ศาสนาคริสต์) และ นบีมูฮัมหมัดสืบเชื้อสายมาจาก บุตรของอับราฮัมที่ชื่อ อิชมาเอล(ศาสนาอิสลาม)  ไม่เช่นนั้น พันธะสัญญาเดิมของพระเจ้าจะไม่ถูกต้องสมบูรณ์

ส่วนพันธะสัญญาเรื่องพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า  ที่พระโคตมะพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ว่า  ท่านจะลงมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ในภัทรกัปนี้นั้น  ต้องเข้าใจว่า  ภัทรกัปนี้ไม่ได้มีแค่โลกมนุษย์ในมิตินี้เท่านั้น  พระโคตมะพุทธเจ้าเป็นตถาคต  หรือเป็นพระธรรมในโลกมนุษย์มิตินี้แล้ว  มีเพียงพระพุทธองค์องค์เดียวเท่านั้น  ที่เป็นพระพุทธเจ้า(ตถาคต)ในโลกมนุษย์ใบนี้ในภัทรกัปนี้

ตถาคตหรือเป็นพระธรรมในภัทรกัปนี้องค์อื่น  ก็อยู่ในโลกมนุษย์มิติอื่น  เช่นเดียวกับ พระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า  ตัวท่านสูงถึง 80 ศอก หรือ 40 เมตร  เทียบกับพระพุทธเจ้าของเราที่สูงไม่เกิน 2 เมตร  
พระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า  ที่สูงกว่า มนุษย์ธรรมดากว่า 20-25 เท่า  ท่านอยู่ในโลกมนุษย์ใบนี้ไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว

0 comments:

แสดงความคิดเห็น