A A

1 มีนาคม 2558

พุทธสภาวะดั้งเดิมของมนุษย์ กับ พุทธสภาวะดั้งเดิมของพระอรหันต์นั้นต่างกัน

คุณธรรมจักรถามในกระทู้พุทธภาวะมหาสุญญตา(ปรินิพพาน) พุทธภาวะธรรมกาย  พุทธภาวะวิญญาณบริสุทธิ์ ว่า :  ท่านสุเมธ คงไม่ต้องเสียเวลา หาเวลา นิรมิต มาสี่อสงไขย แสนกัป หรอกครับ  ถ้าเป็นพุทธสภาวะดั้งเดิมอยู่แล้ว

พุทธภาวะ(มหาสุญญตา)ที่มีหนึ่งเดียว  ต้องการเล่นเกมยังไงล่ะ  ดีกว่าอยู่เปล่าๆไปเรื่อยๆนิรันดร  เลยทำให้เกิดธรรมกาย สัมโภคกาย พระอรหันต์ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ มนุษย์ มนุษย์ต่างดาว โลก จักรวาล กาลเวลา นรก สวรรค์ ฯลฯ

กติกาของพวกเรา  โลกุตตรจิตในนิพพาน  การที่จะออกไปทดลองการใช้ชีวิตอยู่ในภพภูมิอื่นที่ไม่ใช่แดนนิพพานหรือพุทธเกษตร  โลกุตตรจิตนั้น  ต้องนิรมิตจิตปภัสสรขึ้นมาใหม่อีกดวง  แทนนิพพานจิตของตน  และต้องอนุญาตให้อวิชชา กิเลสตัณหา  เข้ามาแทรกหลอกลวงได้  นอกจากนี้  ท่านสุเมธดาบส ท่านอธิษฐานจิตไว้สูงเองว่า  ขอเป็นพระพุทธเจ้า  ซึ่งตามกฎกติกาของพวกเรา  การจะเป็นพระพุทธเจ้าแบบนั้นแบบนี้ ต้องสะสมบุญบารมีมาเท่านั้นเท่านี้  ไม่งั้นเป็นไม่ได้

กล่าวให้ชัดไปเลย....  พวกเราเป็นและมีเพียงหนึ่ง หนึ่งนี้หมายถึงอนันต์  ต่อมา พวกเรากระจายแยกตัวเองออกไปเป็นอนันต์  พวกเราทั้งหมด  จึงต่างก็เคยเป็นพระพุทธเจ้าระดับสูงสุด (องค์พระผู้เป็นเจ้า) ที่ทุกจิตเป็นสัพพัญญูมาก่อนแล้วทั้งนั้น  ตอนหลังพวกเรากำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นเพื่อมาเล่นเกมใน 3 ภพ  กฎเกณฑ์ใหม่ระบุว่า  พวกเราต้องโยนทิ้ง  ความเป็นพระพุทธเจ้า(พระเจ้า)ระดับสูงสุดที่ทุกจิตเป็นสัพพัญญูหมดออกไป  คงเหลือไว้เพียงความเป็นอรหันต์ธรรมดาสุกขวิปัสสโกเท่านั้น  ซึ่งเป็นพระอรหันต์ชั้นต่ำที่สุด หรือเป็นชั้นเบื้องต้นในแดนนิพพาน

ในแดนนิพพานอรหันต์ขั้นแรกซึ่งเป็นชั้นต่ำสุด หรือชั้นที่ 1 คือ  อรหันต์สุกขวิปัสสโก  ในลัทธิเต๋า คืออรหันต์ที่อยู่ในชั้นฟ้าที่ 17
(16 ชั้นฟ้าก่อนหน้าเป็นชั้นโลกียะหมด)  ใครอยากเลื่อนขั้นก็ต้องปฏิบัติจนได้ญาณต่างๆอีก  จึงจะได้เลื่อนชั้นภูมิ  

ในพุทธศาสนา  พระอรหันต์จำแนกเป็น 4 ประเภทใหญ่ คือมี
- สุกขวิปัสสโก
- เตวิชโช ( วิชชา ๓)
- ฉฬภิญโญ (อภิญญา ๖)
- ปฏิสัมภิทัปปัตโต (ปฏิสัมภิทาญาณ)

พรอรหันต์สุกขวิปัสสโก  ประเภทนี้ ไม่มีบทบาทอะไรทั้งหมด หมายความว่า ละกิเลสได้อย่างเดียว
ภพภูมิอะไรอื่นๆ  จะผีสางเทวดา ... ท่านก็ไม่เห็นทั้งนั้น  นรกสวรรค์ ... ท่านก็ไม่เห็น แต่ว่า จิตท่านสงัดจากกิเลส

พระอรหันต์ 
"เตวิชโช"  อันนี้ได้ ทิพยจักขุญาณ กับ ปุพเพนิวาสนุสติญาณ คือว่า  สามารถจะเห็นผี เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ เห็นนรก เห็นพรหมโลก เห็นนิพพาน ได้ตามอัธยาศัย แล้วก็สามารถระลึกชาติได้ ชาติของตัวเองเคยเป็นอะไรมาบ้างรู้หมด

ต่อไปก็ พระอรหันต์
"ฉฬภิญโญ" (อภิญญา ๖)  อันนี้ ได้อภิญญา 5 ด้วย  จึงแสดงฤทธิ์ต่างๆจาก อภิญญา 5 ได้ คือ.
1. อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
2. ทิพยโสต มีหูเป็นทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกล หรือเสียงอมนุษย์ได้ยิน
3. จุตูปปาตญาณ รู้การตายและการเกิดของคนและสัตว์
4. เจโตปริยญาณ รู้ความรู้สึกในความในใจของคนและสัตว์
5. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่างๆ ที่ล่วงมาแล้วได้
แต่เพราะท่านไม่มีกิเลสตัณหาแล้ว  จึงถือว่ามี อภิญญา ๖ ครบเครื่อง

สำหรับพระอรหันต์ 
"ปฏิสัมภิทัปปัตโต" ท่านก็แสดงได้อย่างกับท่านอภิญญา ๖  แต่มีกรณีพิเศษอื่นด้วยคือ  ท่านมีความสามารถรู้พร้อมในพระไตรปิฎก  สามารถย่อขยายความในธรรมภาษิตได้อย่างถูกต้อง  มีปฏิภาณในการแสดงธรรม  ย่อความในคำสอนโดยไม่เสียความ  และสามารถเข้าใจภาษาต่างๆทุกภาษา ไม่ว่าภาษามนุษย์หรือสัตว์ พรหม เทวดา และยังต้องเจริญอรูปฌานอีกสี่ด้วย

พระอรหันต์สุกขวิปัสสโกที่อยู่ในแดนพระนิพพาน และทำอภิญญาต่างๆต่อ  ไม่ลงมาใช้ชีวิตในภพภูมิอื่นๆ  จนในที่สุด ท่านได้อภิญญาครบเครื่อง  จนได้ปกครอง ชั้นฟ้า 16 ชั้นของพวกที่ยังไม่บรรลุอรหันต์  และปกครองชั้นฟ้าอีก 17 ชั้นฟ้าของพระอรหันต์ในพุทธเกษตรแดนนิพพานด้วย  คือ  ท่านเง็กเซียนฮ่องเต้  ท่านเง็กเซียนฮ่องเต้ปฏิบัติได้จนถึงขั้นปกครองสวรรค์ชั้นฟ้า 33 ชั้น  ซึ่งมีรูป  ส่วนอีก 3 ชั้นจาก 36 ชั้นฟ้า  เป็นชั้นอรูป  ท่านไม่ได้ปกครอง  

3 ชั้นบนสุดในลัทธิเต๋า(ชั้นฟ้าที่ 34-36) นั้นเป็นนิพพานของอรูปพรหม(นิพพานพรหม) และโลกุตตรนิพพาน ซึ่งมีแต่จิตว่างอย่างเดียว  ไม่มีวิญญาณอยู่  ไม่ว่าวิญญาณที่มาจากธาตุ 4 หรือวิญญาณที่มาจากธรรมบริสุทธิ์นิรมิตขึ้นเป็นกายธรรมและสัมโภคกาย  ธรรมที่ว่าตัวนี้ไม่มีรูปอยู่  เป็นตัวธรรมที่ว่างอย่างเดียว  ไม่มีกาย ไม่มีวิญญาณ  

ในขณะที่อรูปพรหม(นิพพานพรหม) เป็นนิพพานโลก หรือนิพพานโลกียะ  นิพพานโลกต่างกันกับโลกกุตตรนิพพานตรงที่  โลกุตตรนิพพานนอกจากได้ดับวิญญาณที่เป็นอทิสมานกายทิ้งไปแล้ว  ยังไม่ยอมใช้ตัวกายของธรรมกายด้วย  ส่วนตัวนิพพานพรหมไม่ได้ดับวิญญาณที่เป็นอทิสมานกายเลย   ถ้าหากดับวิญญาณที่เป็นอทิสมานกาย  แล้วก็ยังสามารถดับตัวกายของธรรมกาย หรือสัมโภคกายได้ด้วยแล้ว  ก็จะบรรลุพระนิพพานโลกุตระ  

ส่วนความสุขความสำราญในพระนิพพานทั้ง ๒ นั้น  ก็ประเสริฐเลิศโลกเสมอกันไม่ต่างกัน  แต่นิพพานโลกุตตระเป็นนิพพานที่ไม่สิ้นสุด  ในขณะที่นิพพานพรหมสิ้นสุดได้  เมื่อสิ้นอำนาจของฌานแล้ว(84,000 มหากัป)  ก็ยังต้องมีเกิดแก่เจ็บตาย  ร้ายและดี  คุณและโทษ  สุขและทุกข์ อีก  

พุทธศาสนามหายาน จึงอธิบายว่า  สำหรับผู้ที่อยู่ใน 31 ภพภูมิ จะเข้าไปในแดนอมตะนิรันดรได้  ต้องดับความเป็นบุคคล(มนุษย์ เทพ พรหม ฯลฯ) ก่อน  เรียกว่า "บุคคลสูญญตา" = อรหันต์  ได้นิพพาน  ส่วนพระอรหันต์ที่ดับกายของธรรม(เป็นจิตบริสุทธิ์ว่างเปล่าล้วน) เป็นความว่างที่มีอยู่ เหนือความว่าง(อนัตตา หรือสุญญตา)ที่ไม่มีอยู่  เรียกว่า "ธรรมสูญญตา"  ตัวนี้แหละคือ 
ปรินิพพาน หรือมหาสุญญตา ในลัทธิเต๋า คือ "มหาไพศาลภูมิ" 

อ้าว! มาต่อตอนจบกันดีกว่า  ไปวกออกไปในธรรมะระดับที่โคตรของโคตรแห่งโคตรลึกอีกแล้ว  เดี๋ยวท่านผู้อ่านจะกลายเป็นบ้าไปเสียก่อน  โดยเฉพาะนายธรรมจักรที่อ่านอะไรชอบอ่านผ่านๆ  จึงไม่มีทางเข้าใจธรรมะระดับสูงสุดเหนือสูงสุดอย่างนี้ได้แน่นอน..... ผมขอสรุปก่อนดีกว่า

สรุป

ผู้ที่จะออกไปอยู่ในภพภูมิอื่น  ที่ไม่ใช่พุทธเกษตรแดนนิพพานย่อมทำได้  แต่ก็ต้องมีกติกาการเล่น  และหนทางการเล่น  เพื่อจะได้กลับเข้าไปเป็นอรหันต์ใหม่  และไปปฏิบัติเพื่อเลื่อนขั้นในพุทธเกษตรแดนนิพพานใหม่ต่อไป  ตามขั้นต่างๆที่พุทธศาสนาและลัทธิเต๋าสอนไว้  ซึ่งคนธรรมดาอ่านไม่ทางรู้เรื่อง  ผมจึงนำมาเสนอไว้  เพื่อให้ทุกท่านรู้ว่า
พุทธศาสนาและลัทธิเต๋าเป็นเรื่องเดียว  พระพุทธเจ้ากับปรมาจารย์ลัทธิเต๋าเพียงแต่สอนให้ต่างกันไปบ้าง  จุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ที่บรรลุธรรมและไม่แบ่งแยกทางศาสนาเท่านั้นจึงจะเข้าใจ  

ดังที่กล่าวมาแล้วว่า  โลกุตตรจิตที่จะออกมาอยู่ในภพภูมิอื่น  ต้องนิรมิตจิตปภัสสรขึ้นมาใหม่อีกดวง  แทนนิพพานจิตของตน  และต้องอนุญาตให้อวิชชา กิเลสตัณหา  เข้ามาแทรกหลอกลวงจิตปภัสสรนั้นได้  พอเราออกมาจากนิพพาน  กาลเวลาและอวิชชาก็ทำให้เราตกชั้นภูมิลงไปเรื่อยๆ  จนในที่สุด เราตกลงมาเกิดเป็นมนุษย์  แม้ว่าจิตปภัสสรของเราซึ่งไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้วก็ตาม  แต่ภพภูมิมนุษย์ก็เป็นภพภูมิที่มีพวกเรามีความหวังมากที่สุด  ในการนำเรากลับเข้าไปเป็นอรหันต์อีก  เพราะที่โลกมนุษย์นี่  มาร(ฝ่ายชั่ว และฝ่ายดี) กับพุทธะ  ล้วนมีสิทธิ์เข้าไปสอนความดีความชั่ว และการละวางในใจของเราได้  ทำให้เราไม่ต้องไปหลงกลอวิชชาอีก

ตอบคำถามคุณ dhammajak ในกระทู้พุทธภาวะมหาสุญญาตา(ปรินิพพาน) พุทธภาวะธรรมกาย  พุทธภาวะวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ถามว่า :

ท่านสุเมธ คงไม่ต้องเสียเวลา หาเวลา นิรมิต มาสี่อสงไขย แสนกัป หรอกครับ  ถ้าเป็นพุทธสภาวะดั้งเดิมอยู่แล้ว

พุทธสภาวะดั้งเดิมของมนุษย์ กับ พุทธสภาวะดั้งเดิมของผู้บรรลุธรรมขั้นพระอรหันต์ไม่เหมือนกัน  พุทธสภาวะดั้งเดิมของมนุษย์คือ  มีปัญญาเห็นธรรมที่จะได้เป็นอรหันต์(บุคคลสูญญตา) ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอีก  พุทธสภาวะดั้งเดิมของพระอรหันต์คือ  มีปัญญาเห็นธรรมที่จะดับความเป็นอรหันต์นั้น(ธรรมสูญญตา)  กลับเข้าไปสู่ความว่างระดับมหาสุญญตาหรือปรินิพพาน

การที่ท่านสุเมธดาบสจะทำให้ตัวเองกลับขึ้นไปเป็นอรหันต์นั้นทำได้ยากมากๆแล้ว  แล้วสุเมธดาบสยังไปตั้งจุดม่งหมายจะเป็นพระปัญญาพุทธเจ้าอีกด้วย  ท่านจึงจำเป็นต้องบำเพ็ญ และสะสมบุญบารมี ๔ อสงไขย ๑ แสนกัปยังไงล่ะ

อ้างถึง

อ่อ...กติกาต้อง เนรมิตนิพพานจิตขึ้นมาก่อน เหรอครับ ...

dhammajak โพสต์

แม่นแล้วน้อง!  เพราะมหาสุญญตาเป็นความว่างในความว่าง(อนัตตา) เป็น 0 ใน 0 หรือ สอง 0 ยังไงล่ะ  มหาสุญญตาจึงต้องนิรมิตสิ่งที่เป็นอัตตา คือ ธรรมกาย และสัมโภคกาย ขึ้นมา  เพื่อเป้าหมายของผู้ที่เป็นมนุษย์ และพวกที่อยู่ใน 31 ภพภูมิว่า  ภพภูมิที่เป็นอมตะ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนั้นมีอยู่ 

พอพวกที่อยู่ใน 31 ภพภูมิเข้านิพพาน เป็นบุคคลสูญญตา ได้อายตนะนิพพาน เข้าไปในแดนพุทธเกษตรแดนนิพพานหมดแล้ว  ก็ให้ไปปฏิบัติต่อให้ละทิ้ง  แม้แต่ตัวธรรมกาย  เหลือแค่ ธรรม หรือปรินิพพาน มหาสุญญตา อย่างเดียว  ที่เรียกว่า "ธรรมศูนยตา"

แต่คุณยังเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง  นิพพานจิตนั้นคือธรรม หรือปรินิพพาน หรือมหาสุญญตา ซึ่งมี 1 เดียว  เป็นผู้เนรมิตสิ่งอื่นๆออกมา  ไม่ใช่ถูกเนรมิตออกมา  แต่เป็นการอวตารหรือแบ่งภาคของตัวเองเป็นอนันต์พระองค์เท่านั้น

0 comments:

แสดงความคิดเห็น